Saturday, February 2, 2013

ยุคนี้ ฟาร์มแกะกำลังอินเทรนด์ แต่รู้หรือเปล่า ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ?

ยุคนี้ ฟาร์มแกะกำลังอินเทรนด์ แต่รู้หรือเปล่า ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ?  

ยุคนี้ ฟาร์มแกะกำลังอินเทรนด์ แต่รู้หรือเปล่า ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ?
 
รวมสุดยอดฟาร์มแกะ วิวสวย สุดชิลล์ ของไทย 
คำว่า เด็กเลี้ยงแกะ ฟังดูอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่วันนี้ที่จะพาไปเป็นเด็กเลี้ยงแกกัน นั้น รับรองได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน เพราะแต่ละสถานที่มีน้องแกะให้เลี้ยงจริงๆ และไม่เพียงแค่ได้เลี้ยงแกะเท่านั้น แต่ยังได้สัมผัสกับสถานที่บรรยากาศดีๆ วิวสวยไปพร้อมกันอีกด้วย ซึ่งจะมีที่ไหนบ้างนั้น ตามไปชมกัน...

The Scenery Farm สวนผึ้ง
The Scenery Farm สวนผึ้ง
                           

The Scenery Farm เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบ One Day Trip โดยเปิดให้เข้าชมบรรยากาศของฟาร์มแกะ สามารถให้อาหารแกะ และถ่ายรูปกับแกะได้อย่างใกล้ชิด



Swiss Valley Hip Resort สวนผึ้ง
Swiss Valley Hip Resort สวนผึ้ง
Swiss Valley Hip Resort รีสอร์ทสไตล์ European สุดหรูบนเนื้อที่80 ไร่ บ้านพักทั้ง 11 หลัง ตกแต่งในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ท่ามกลางเนื้อที่กว้างขวางของสนามหญ้าสีเขียว และระยะห่างของบ้านพักแต่ละหลังทำให้การพักผ่อนของคุณเป็นส่วนตัวที่สุด เพิ่มสีสันวันพักผ่อนของคุณด้วยฝูงแกะที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของอำเภอสวน ผึ้ง ที่คุณสามารถถ่ายรูปและเฝ้ามองฝูงแกะตัวสีขาวที่เดินเล่นบนสนามหญ้าสีเขียว ช่วยให้คุณได้สัมผัสกับบรรยากาศของธรรมชาติที่มีเสน่ห์ของอำเภอสวนผึ้งแห่ง นี้



Bellissimo (สวนผึ้ง)

Bellissimo (สวนผึ้ง)
เบลลิ สซิโมคาเฟแอนด์รีสอร์ท เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางที่ดีเยี่ยมใน ราชบุรี ด้วยทำเลที่ตั้งอันเหมาะเจาะใน สวนผึ้ง จากที่นี้ ผู้เข้าพักสามารถไปยังทุกที่ในเมืองอันมีชีวิตชีวานี้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยที่ตั้งใกล้แหล่งท่องเที่ยวหลักของเมือง เช่น พาโวไทโลคอลมิวเซียม ผู้เข้าพักจะหลงรักโรงแรมแห่งนี้แน่นอน ด้วยการบริการที่เหนือกว่าและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เบลลิสซิโมคาเฟแอนด์รีสอร์ท รับประกันความสะดวกสบายสูงสุดในการเข้าพัก โรงแรมได้เตรียมบริการ รูมเซอร์วิส, ร้านค้า, พนักงานต้อนรับ, ที่จอดรถ, Wi-Fi ในพื้นที่สาธารณะ ไว้เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้าพักจะได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด นอกจากที่พักแล้ว ยังมีฟาร์มแกะให้คุณได้ให้อาหารแกะอย่างใกล้ชิด



Hug You (ลำปาง)
Hug You (ลำปาง)

Hug You สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในจังหวัดลำปาง ตกแต่งอย่างสวยงาม มีวิวสวยๆ ให้เลือกถ่ายรูปกันได้หลากหลายมุม ภายในมีร้านขายเครื่องดื่มที่มีให้เลือกสั่งมากมายที่เน้นใช้ผลิตภัณฑ์จากนม แกะมาเป็นส่วนประกอบ มีของที่ระลึกอีกหลากหลายให้คุณได้เลือกซื้อ นอกจากนี้แล้วยังมีฟาร์มแกะที่สามารถให้อาหารแกะ ถ่ายรูปกับแกะกันได้ด้วย



a cup of love (วังน้ำเขียว)
a cup of love (วังน้ำเขียว) 

อะ คัพออฟเลิฟ (a cup of love) เป็นรีสอร์ทที่มีสไตล์เก๋ไก๋ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ พร้อมกับมีร้านกาแฟตั้งอยู่ริมถนน และยังมีโซนฟาร์มแกะที่คุณสามารถเข้าไปให้อาหารแกะ ป้อนนมแกะได้ด้วย



Sheep Land (เขาใหญ่)
Sheep Land (เขาใหญ่) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของเขาใหญ่ ภายในมีทั้งฟาร์มแกะ ร้านค้าขายของที่ระลึก และร้านกาแฟที่มีเมนูเฉพาะอย่างนมแกะให้ลิ้มลอง นอกจากนี้ยังเปิดให้เข้าชมฟาร์มแกะ และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับความน่ารักของบรรดาแกะน้อยหลาย สายพันธุ์ พร้อมกิจกรรมป้อนนมแกะอย่างใกล้ชิด



Kho In Love (เขาค้อ)
Kho In Love (เขาค้อ)
ค้อ อินเลิฟร้านกาแฟที่มีทีมงานเก่าอย่างร้านคอฟฟี่ฮิลล์ ช่วยกันตกแต่งและพัฒนาจนได้ชื่อใหม่ว่าร้าน ค้ออินเลิฟบายคอฟฟี่ฮิลล์ ที่จะเป็นเสน่ห์ของเขาค้อ ท่ามกลางบรรยากาศลมหนาวพัดเอื่อยๆ ท่ามกลางทิวทัศน์ภูเขาไกลๆ สุดสายตาบนเขาค้อ จิบชา กาแฟรสชาติดี พร้อมทำกิจกรรมการป้อนนมน้องแกะ ด้วยนมแกะแท้ๆ ที่ทางร้านมีไว้บริการ



วิมานน้ำรีสอร์ท (เพชรบุรี)
วิมานน้ำรีสอร์ท (เพชรบุรี)

วิมาน น้ำรีสอร์ท ตั้งอยู่ติดกับลำน้ำเพชรที่ทอดยาวมาจากเขื่อนแก่งกระจาน ทำให้การพักผ่อนของคุณเป็นการพักผ่อนที่ใกล้ชิดธรรมชาติ สัมผัสกับธารน้ำที่ไหลทอดยาวผ่านตัวรีสอร์ทช่วยสร้างให้บรรยากาศดูอบอุ่น สบายๆ พร้อมกับกิจกรรมที่จะทำให้คุณตื่นเต้น อาทิ พายเรือคายัค ล่องเรือยาง เตะฟุตบอล ส่วนคนที่อยากชื่นชมพันธุ์ไม้งามต่างๆ ของวิมานน้ำรีสอร์ท ที่นี่มีสวนสวยและแมกไม้หลากหลายสายพันธุ์รอให้คุณได้สัมผัส รวมทั้งยังได้เพลิดเพลินไปกับการเลี้ยงแกะอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ นับได้ว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ที่คุณสามารถสัมผัสได้ ณ วิมานน้ำรีสอร์ท



ตลาดน้ำหัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์)
ตลาดน้ำหัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์)
ตลาด น้ำหัวหิน เป็นตลาดน้ำที่ประยุกต์ระหว่างวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตให้เข้ากับการท่อง เที่ยวในปัจจุบัน โดยมี Concept คือ “ตลาดน้ำหัวหิน แปลกใหม่ ยิ่งใหญ่ หรูหรา” บนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ สวยงามด้วยสถาปัตยกรรม และการตกแต่งสไตล์หัวหินย้อนยุค รวมถึงความหลากหลายของสินค้าจากร้านค้าต่างๆ ที่ไม่ซ้ำซากจำเจ นอกจากนี้ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับฟาร์มแกะ ที่สามารถให้อาหารแกะ และถ่ายรูปกับแกะได้อย่างใกล้ชิด




POSITANO (นครราชสีมา)

POSITANO (นครราชสีมา)
พอ สสิตาโน ไทยแลนด์ เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางที่ดีเยี่ยมใน เขาใหญ่ นครราชสีมา ด้วยทำเลที่ตั้งอันเหมาะเจาะใน ปากช่อง จากที่นี้ ผู้เข้าพักสามารถไปยังทุกที่ในเมืองอันมีชีวิตชีวานี้ได้อย่างง่ายดาย สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการจาก พอสสิตาโน ไทยแลนด์ รับประกันได้ว่าจะสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้เข้าพัก นอกจากนี้ทาง POSITANO ยังมีกิจกรรมให้อาหารแกะซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ English Hous ด้วย


The Banyan Leaf Resort (ราชบุรี)
The Banyan Leaf Resort (ราชบุรี)
บรรยากาศอันแสนอบอุ่น ร่มรื่นเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนเขา มีลำธารซึ่งไหลผ่านบริเวณหน้าห้องพักและมีน้ำตกเลียนแบบธรรมชาติที่มีน้ำไหล ตลอดปี จากห้องพักสามารถมองเห็นวิวภูเขา ไร่องุ่น ไอหมอกและฟาร์มแกะในยามเช้าและเย็นได้เป็นอย่างสบาย ฟาร์มเลี้ยงแกะ ของที่นี่เพิ่งจะเปิดมาได้ไม่นานนี้ อาหารเลี้ยงแกะของที่รีสอร์ทนี้จะแปลกกว่าที่อื่นตรงที่ เป็นแบบอาหารเม็ด ซึ่งมีจำหน่ายราคากระป๋องละ 50 บาท

Wonder Farm (สัตหีบ)

Wonder Farm (สัตหีบ)
ฟาร์ม นี้ตั้งอยู่บนถนนเชื่อมระหว่าง วิหารเซียนสู่เขาชีจรรย์ เป็นฟาร์มที่มีพื้นที่รวมประมาณสิบไร่ แบ่งเป็นส่วนร้านกาแฟ และฟาร์มกระต่าย ปลา หงษ์ และ ส่วนของคอกซึ่งเลี้ยงม้าและแพะ ตัวร้านสร้างขึ้นคล้ายๆ บ้านดิน ซึ่งด้านบนมีโต๊ะไว้นั่งชมวิวสวยๆ ซึ่งที่นี่คงจะจี้จุดในใจของใครหลายๆคนไม่มากก็น้อย



Swiss Sheep Farm (ชะอำ)

Swiss Sheep Farm (ชะอำ)

มา ร่วมสัมผัสกับฟาร์มบรรยากาศแบบสวิส ท่ามกลางหุบเขาแห่งความรัก ที่โอบล้อมด้วยไออุ่นสไตล์ยูโรคันทรี ฟาร์มที่จะพาคุณข้ามเวลาไปสู่ความฝันอีกครั้ง ที่คุณจะเพลิดเพลินไปกับการขี่ม้าชมวิว เลี้ยงแกะท่ามกลางทุ่งหญ้า และสนุกเต็มอิ่มกับกิจกรรมพิสูจน์รักแท้ ที่สนุกสนานและสุดแสนโรแมนติก พร้อมทั้งคล้องกุญแจแห่งรัก ที่ได้กล่าวขานสืบต่อกันมาว่า คู่รักที่ได้มาคล้องกุญแจแห่งรักร่วมกัน จะสามารถครองความรักนิรันดร์ได้ มาร่วมเติมพลังให้กับวันอันเหนื่อยล้าของคุณได้ที่ Swiss Sheep Farm Cha-am ฟาร์มแกะเปิดใหม่ที่ชะอำ

แกะขุนลูกผสม 3 สายเลือด



             "แกะ” จัดเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็ก กินหญ้าเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับวัว แต่ปริมาณในการกินอาหารน้อยกว่า ถ้านำมาเลี้ยงในเชิงพาณิชย์จะให้ผลผลิตและผลตอบแทนเร็วกว่า อีก ทั้งใช้พื้นที่ในการเลี้ยงน้อย ปัจจุบันสายพันธุ์แกะที่เลี้ยงในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมือง
   
             มีเรื่องที่น่ายินดี ที่คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตจังหวัดสกลนคร ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการเลี้ยงแกะเนื้อขึ้นในเขตภาคอีสานตอนบน  เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2545  ศึกษาวิจัยสมรรถภาพทางการผลิตของแกะ  ในระบบการ เลี้ยงแบบปล่อยแทะเล็มในทุ่งหญ้าเขตร้อนของ จ.สกลนคร โดยนำแกะลูกผสมระหว่างพันธุ์พื้นเมืองกับพันธุ์ดอร์เปอร์เข้ามาเลี้ยงเพื่อ ศึกษาอัตราการเจริญเติบโต
   

             ปัจจุบัน อ.วัชรวิทย์ มีหนองใหญ่ ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์แกะเพื่อให้มีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นและง่ายต่อการ จัดการ โดยใช้พ่อพันธุ์แกะซานตาอิเนส (นำเข้า จากประเทศบราซิล จัดเป็นแกะขนาดใหญ่ เพศผู้เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักถึง 80-90 กิโลกรัม เพศเมีย 60 กิโลกรัม ใช้เพื่อ   ทำการปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์แกะเนื้อ   ให้มีการเจริญเติบโตดี) เข้ามาปรับปรุง  สายพันธุ์เป็นลูกผสมสามสายเลือดโดยนำ  มาผสมพันธุ์กับลูกผสมพื้นเมืองกับดอร์เปอร์ ได้แกะขุนสายพันธุ์ใหม่ที่มีหลายสี ไม่มีเขา หน้าโค้งนูน ขนบริเวณซี่โครงและท้องมีลักษณะคล้ายพันธุ์ซานตาอิเนสและขนบริเวณแนวสันหลัง จะมีลักษณะหนาและเมื่อเลี้ยงจนมีอายุ ได้ 9 เดือน น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 16 กิโลกรัม ปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้พัฒนาการเลี้ยงแกะลูกผสมสามสายเลือด เข้าสู่ระบบการเลี้ยงขุนเพื่อให้ผลตอบแทนได้เร็วขึ้น
   
             อ.วัชรวิทย์ยังได้อธิบายวิธีการเลี้ยงแกะโดยทั่วไปจะมี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ การเลี้ยงแบบปล่อยแทะเล็มในแปลงหญ้า  และการเลี้ยงแบบขุนในคอก ซึ่งการเลี้ยง  แบบปล่อยแทะเล็มในแปลงหญ้าจะมีข้อ   ดีตรงที่ช่วยประหยัดต้นทุนในเรื่องอาหาร โดยจะมีการปล่อยเลี้ยงแกะในช่วงเวลา  เช้าประมาณ 2 ชั่วโมง และช่วงบ่ายอีก  ประมาณ 2 ชั่วโมง แกะเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมแทะเล็มเฉพาะยอดหญ้าไปเรื่อย ๆ ไม่อยู่กับที่ แต่ในช่วงฤดูร้อนจะต้องระวังเรื่อง ท้องอืด อีกทั้งจะต้องคอยระวังสุนัขมากัดแกะด้วย

   
             มีข้อเสียของการเลี้ยงแบบปล่อย  คือช่วงฤดูแล้งหญ้ามักจะขาดแคลนและหาได้ ยาก สำหรับการเลี้ยงแบบขุนในคอก จะทำให้แกะเจริญเติบโตเร็วแต่มีต้นทุนในเรื่องอาหารสูงขึ้น ถ้าเป็นไปได้เพื่อเป็นการลดต้นทุนเรื่องอาหาร สูตรอาหารที่จะนำมาใช้เลี้ยงจะต้องหาง่ายในท้องถิ่น เช่น เปลือกและกากมันสำปะหลังที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในสูตรอาหารเพื่อลดต้นทุนการ ผลิตและสามารถใช้ได้ทั้งรูปของการหมัก (ฤดูฝน) และรูปแบบตากแห้ง (ฤดูแล้ง)
   
             สำหรับช่องทางการตลาดแกะเนื้อนั้นยังมีความสดใส ตลาดใหญ่อยู่ที่ภาคใต้, ภาคกลางและภาคตะวันออก ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเป็นชาวมุสลิม.

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
ที่มา และ ภาพประกอบ: เดลินิวส์ ออนไลน์

แกะ ลักษณะ และลักษณะพิเศษ






















ชื่อ
แกะ
ลักษณะ และลักษณะพิเศษ
แกะเป็นสัตว์ที่กินหญ้าเป็นอาหารหลักมีลักษณะกีบเข้าคู่ เขาใหญ่ กลวงโค้งงอ ปลายบิดชี้ไปข้างหน้า ความยาวของลำตัว วัดจากปลายจมูกถึงโค้งหางยาว 1.4 - 1.5 เมตร สูง 65 - 72 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 60 - 70 กิโลกรัม เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง มี 4 กระเพาะ ออกลูกคราวละ 1-3 ตัว จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับโค แต่มีขนาดเล็กกว่า สามารถเลี้ยงได้ง่าย ปรับตัวเข้ากับดินฟ้าอากาศ แต่ละท้องถิ่นได้ดี กินหญ้าได้หลายชนิด แม้แต่หญ้าบางชนิดที่โคกระบือไปชอบกิน การเลี้ยงส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณที่มีคนนับถือศาสนาอิสลาม
แหล่งที่พบ
พบโดยทั่วไปในจังหวัดนราธิวาส
ความสัมพันธ์กับชุมชน
คนที่เลี้ยงแกะส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม เพื่อนำแกะที่เลี้ยงไปใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการบริโภค ถ้าเหลือจากนี้แล้วก็จะไปจำหน่ายเพื่อเป็นรายได้เสริม
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
การเลี้ยงแกะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจของจังหวัดนราธิวาสยังน้อยเพราะการ เลี้ยงส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบรายย่อย คือบ้านละประมาณ 3 - 5 ตัว ก็คือว่าจำนวนน้อยมาก แต่ถ้ามีการส่งเสริมให้มีการเลี้ยงแกะให้มากขึ้นก็สามารถสร้างรายได้ได้ดี เพราะการเลี้ยงแกะใช้ทุนน้อย ค่าอาหารถูกตลาดในท้องถิ่นและต่างประเทศ ยังมีความต้องการเนื้อแกะอีกจำนวนมาก

เยี่ยมชมฟาร์มเลี้ยงแกพที่ แม่ฮ่องสอน

1,864 โค้ง ที่แม่ฮ่องสอน 
  • ขากลับแวะที่ พระตำหนักปางตอง ครับ

  • ที่นี่มีการเลี้ยงแกะด้วยแหละ เหมือนได้เที่ยวเมืองนอกอีกแล้ว ดีจริงๆ

  • การเดินทางก็ค่อนข้างสะดวกครับ อยู่บนเส้นทางเข้าปางอุ๋งเลย
    แยกออกไปนิดเดียวเอง น่าแวะมากๆ ครับ

  • เด็กตระกร้า อิอิ

  • คนนี้รักเด็ก เอ้ย แกะ

  • อีกรูป

  • บรรยากาศที่นี่ร่มรื่นมากๆ ครับ
    แถมนักท่องเที่ยวก็ไม่เยอะนัก ถ่ายรูปสบายๆ

  • เต็มปากเลยน้อง

  • พื้นที่โดยรอบก็มีมุมสวยๆ เยอะนะครับ

  • จุดถัดมาคือ น้ำตกผาเสื่อ ครับผม

  • น้ำตกผาเสื่อ เกิดจากลำแม่น้ำสะงา เป็นน้ำตกขนาดกลาง
    สูงประมาณ 10 เมตร กว้างประมาณ 15 เมตร

  • ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำไหลเต็มหน้าผากว้างทำให้มีรูปร่างคล้ายเสื่อ
    จึงเรียกว่า “น้ำตกผาเสื่อ” ในฤดูแล้งจะมีน้ำน้อย
    ทำให้เห็นหินที่สวยงามเหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ

  • ด้านหน้ามีนิทรรศการเล็กๆ ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวอุทยานฯ
    และมีของที่ระลึก และโปสการ์ดจำหน่ายพร้อมส่งด้วยนะครับ

  • แวะที่นี่ก็บรรยากาศร่มรื่นดีครับ เป็นอีกที่ๆ ขอแนะนำ

  • จากนั้นเราเริ่มเดินทางเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน

  • ที่แรกในเมืองที่แวะไปคือ วัดพระนอน อยู่เชิงดอยกองมู
    เป็นที่ประดิษฐานพระนอนองค์ใหญ่ สร้างแบบศิลปะไทยใหญ่ พ.ศ. 2418
    และเป็นพระนอนองค์ขนาดยาว 12 ม. ซึ่งมีพุทธลักษณะงดงามมาก

  • ตามประวัติเล่าว่าพระนางเมียะภริยาของพระยาสิงหนาทราชาเป็นผู้สร้าง
    ภายในบริเวณมีรูปปั้นสิงโตขนาดใหญ่ 2 ตัวสร้างโดยพระยาสิงหนาทราชา
    และพระนางเมียะ อยู่เคียงข้างระหว่างทางที่จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุกองมู
    เป็นสิงโตที่มีลักษณะงดงามและสมบูรณ์มาก

  • ขึ้นเขาไปอีกนิดเดียวก็ถึง วัดพระธาตุดอยกองมู

  • วัดพระธาตุดอยกองมู มีชื่อเรียกแต่เดิมว่า วัดปลายดอน
    เป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญที่สุด

  • ประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม 2 องค์
    พระเจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดย"จองต่องสู่" เมื่อ พ.ศ.2403

  • เจดีย์นี้เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ
    ซึ่งนำมาจากประเทศพม่า

  • ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ.2417
    โดย "พญาสิงหนาทราชา" เจ้าผู้ครองแม่ฮ่องสอนคนแรก

  • จากวัดพระธาตุดอยกองมูนี้ สามารถมองเห็นภูมิประเทศ
    และสภาพตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้อย่างชัดเจนและสวยงามมาก
 
  • ที่นี่นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะครับ หาจังหวะถ่ายรูปยากอยู่
 
  • รูปนี้ใช้ 14 มม. หมาเบี้ยวเลย 555

  • รอบๆ เจดีย์องค์ใหญ่จะมีพระประจำวันล้อมรอบครับ
 
  • วิวสนามบิน
 
  • ด้านติดตัวเมืองมองย้อนขึ้นไปที่วัด
 
  • วิวตัวเมืองครับ
 
  • และภาพสุดท้าย มุมเดิมเลย แต่ถ่ายตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
    ชุดหน้ายังอยู่ที่แม่ฮ่องสอนครับ ที่เที่ยวเค้าเยอะจริงๆ
 
  • ข้อมูลอ้างอิงจาก :
    http://pangoung.sadoodta.com
    http://www.thai-tour.com
  • ภาพถ่ายโดย ปอม และ ริน Fotozeed
    ขอบคุณทุกทุกท่านที่มาเยี่ยมชมครับ

เนื้อแกะทานหยางของหนิงเซี่ยเตรียมเสริ์ฟในงานเอเชียนเกมส์ที่กว่างโจว

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทอาหารฮาลาล Yanchi Xinhai Muslim Food (盐池鑫海清真食品公司) ได้เซ็นสัญญากับคณะกรรมการจัดงานกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 ที่นครกว่างโจว เพื่อจัดส่งเนื้อแกะทานหยาง (滩羊) ให้กับคณะจัดงานฯ จำนวน 150 ตัน


อำเภอเอี๋ยนฉือ มีสินค้าเกษตรที่โดดเด่น 2 ชนิด คือ ชะเอมและแกะทานหยาง อำเภอเอี๋ยนฉือได้รับการขนานนามว่าเป็น “อำเภอแห่งแกะทานหยางของจีน” ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้อุตสาหกรรมแกะทานหยางกลายเป็นอุตสาหกรรมอันดับ 1 ของอำเภอดังกล่าว ปี 2551 อำเภอเอี๋ยนฉือมีฟาร์มเลี้ยงแกะทานหยาง 19 แห่ง มีผู้เลี้ยงแกะทานหยาง 4,700 ครอบครัว รวมจำนวนแกะทานหยางประมาณ 1.81 ล้านตัว และมีรายได้จากการจำหน่ายเนื้อแกะทานหยางกว่า 500 ล้านหยวน นอกจากนี้ ยังได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในนามของ “盐池滩羊” (เนื้อแกะทานหยางอำเภอเอี๋ยนฉือ) อีกด้วย

ปัจจุบัน มีเกษตรกรที่เลี้ยงแกะทานหยาง ปลูกชะเอมและอุตสาหกรรมโดดเด่นอื่น ๆ ของอำเภอเอี๋ยนฉือรวมกว่า 100,000 คน ปี 2551 เกษตรกรมีรายได้เสริมโดยเฉลี่ยต่อคนจากอุตสาหกรรมแกะทานหยางและชะเอมกว่า 1,000 หยวน รัฐบาลกานซูได้วางแผนไว้ว่า ภายในปี 2556 อำเภอเอี๋ยนฉือจะมีพื้นที่เพาะปลูกชะเอมถึง 1 ล้านหมู่ (2.4 หมู่ เท่ากับ 1 ไร่) และมีการเลี้ยงแกะทานหยางถึง 3 ล้านตัว การผลิตของ 2 โครงการดังกล่าวจะมีมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านหยวน

กิจกรรมป้อนอาหารแกะ(แกะชอบกินถั่วฝักยาว)

ตะลอนตามฝันในการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกับ “ฟาร์มโชคชัย”

             
ด้วยความที่ชอบอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ อินเดียแดง และชอบดูหนังเกี่ยวกับ คาวบอย  ฉันจึงตั้งปณิธานไว้ว่า หลังจากเรียนหนังสือจบจะไปทดลองเป็น คนในงานในฟาร์มวัว แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง เพราะพอเรียนจบปุ๊บ !!! ฉันก็เลือกทางเดินอีกทาง แล้วพักความฝันที่ว่าจะก้าวเข้าสู่การได้สัมผัสกลิ่นอายของท้องทุ่งในฟาร์มวัวไว้เป็นการชั่วคราว  
ผ่านมาเกือบ 5 ปี ความฝันนั้นยังคงอยู่....ไม่หายไปไหน!!!!
          
และเมื่อไม่นานมานี้ ฉันจึงขอไปสูดกลิ่น ขี้วัว ด้วยการเดินเข้าสู่ห้วงฝันที่เคยมาดมั่นไว้ในวัยเรียนแต่แปรเปลี่ยนความตั้งมั่นที่จะสัมผัสชีวิตการเป็น คนงานฟาร์ม ด้วยการเป็น นักท่องเที่ยว แทน
 ช่วง สายของวันอาทิตย์ปลายเดือนมีนาคม ฉันและเพื่อนขับรถออกจากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพหลโยธินวิภาวดี แล้วเลี้ยวขวาจาก จ.สระบุรี เข้าสู่ถนนมิตรภาพ แล้วหยุดที่ กม.159-160 ที่เป็นประตูทางเข้าจังหวัดนครราชสีมา(โคราช) โดยมีจุดหมาย คือ ฟาร์มโชคชัย  
           
                                                                  ซื้อตั๋วก่อน
การมาเดินทางไปครั้ง ฉันและเพื่อนต่างไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับฟาร์มโชคชัยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่มี คือ อยากไปและอยากเห็นฟาร์ม ดังนั้นทุกอย่างที่ตรงหน้าจึงตื่นตาตื่นใจและไร้การคาดหวัง
พอไปถึงฟาร์มโชคชัย จึงเป็นช่วงเวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่แดดร้อนเปรี้ยงปร้าง  เราจึงตรงดิ่งเข้าไปที่เคาร์เตอร์จำหน่ายตั๋วก็ได้รับข้อมูลว่า การเที่ยวชมฟาร์มนั้นจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงและวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์จัดรอบให้เข้าชมหลายรอบ เพราะฟาร์มเปิดตั้งแต่ 09.00-15.00 น. ฉันและเพื่อนจึงซื้อตั๋วสองใบราคาใบละ 250 บาท รอบเวลา 11.40 น.
             
           ทั้งนี้ทราบข้อมูลว่า หากเที่ยวในวันจันทร์-ศุกร์ ฟาร์มจะเปิด 2 รอบ คือ เวลา 10.00 น.และ 14.00 น. และตั๋วผู้ใหญ่จะได้ลดราคาเหลือใบละ 235 บาท และตั๋วเด็กจะเหลือใบละ 115 บาท หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ตั๋วเด็กจะราคา 125 บาท
            
                                             ประตูทางเข้า
เมื่อเราได้ตั๋วเวลา  11.40 น. เท่ากับว่าต้องรอตั้ง 40 นาที ฉันจึงชักชวนกับเพื่อน หาข้าวกลางวันกินก่อนที่จะไม่มีแรงเดิน ซึ่งใกล้ๆ เคาร์เตอร์ซื้อตั๋วจะมีร้านสเต็คอยู่ เราตั้งใจว่าจะเข้าไปลองชิมสเต็คเพื่อให้ได้พิสูจน์ว่า เรามาถึงฟาร์มโชคชัยแล้ว แต่พอมองเข็มนาฬิกาและมองผู้คนที่ค่อนข้างจะล้นหลามต่อการรอชิมสเต็คแล้ว ถ้อยคำที่พูดออกมาพร้อมกันคือ จะกินเหรอ???” นั่นจึงเป็นส่วนตัดสินใจให้เรา เซย์บาย กับการลองชิมสเต็ค
              ร้านสเต็กในช่วงเสาร์-อาทิตย์ค่อนข้างหนาแน่น
ด้วยความที่อากาศร้อนสุดขั้วฉันจึงตรงดิ่งไปยังร้านไอติม อึ้มม์ มิลค์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากนมในฟาร์มโชคชัยที่นำนมสดมาทำ ไอศครีม เป็นออเดิร์ฟก่อนที่จะกินข้าวเที่ยง และแล้วอาหารมื้อเที่ยง ของวันนั้นจึงเป็นอาหารง่าย ๆ ที่หาได้จากร้านบริเวณหน้าฟาร์มโชคชัย
เมื่อ ได้อาหารรองท้องเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาที่เปิดโลกของการเป็นคาวเกิร์ลและ คาวบอยเสียที เพราะระหว่างที่นั่งกินอาหารกลางวันอยู่นั้น ฉันเห็นสาวประชาสัมพันธ์แต่งชุดคาวเกิร์ลเดินขวักไขว่ไปมาให้เห็นจนแทบจะรน ทนไม่ได้ อยากเห็นวัว อยากเห็นม้า เต็มทีแล้ว

การเข้าชมฟาร์มปศุสัตว์นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีพิธีรีตรองเสียเลย
   
                                                           ฟังข้อมูลก่อนเข้าชมฟาร์ม
เบื้อง แรก....หลังจากผ่านประตูทางเข้าแล้ว ด่านแรกที่เราต้องรู้ไว้เป็นสารณะ คือ การรับฟังการบรรยายรับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับฟาร์มเสียก่อน  ซึ่งเดิมทีเดียวฟาร์มโชคชัยในยุคบุกเบิกนั้นมีเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ปัจจุบันมีเนื้อที่กว่า 20,000 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นพื้นที่ปศุสัตว์ พื้นที่ปลูกหญ้า และโรงงาน (ส่วนตัวไม่ทราบว่าเขาได้พื้นที่มากมายนี้มาได้อย่างไร แต่การได้พื้นที่มากโขขนาดนี้มาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ครอบครอบนั้นมันก็น่าสงสัย อยู่......)

                           เดินผ่านน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนเข้าฟาร์ม
พอทราบข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับฟาร์มแล้วเราก็เตรียมตัวทัวร์ แต่ก่อนที่จะเข้าไปภายในฟาร์มก็ต้องมีกระบวนการ ฆ่าเชื้อ โดยบริเวณประตูทางเข้าจะมีการฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อและให้ผู้เข้าชมทุกคนล้างมือ ด้วยน้ำสะอาด จากนั้นก็ตรงดิ่งไปรับทราบข้อมูลรถรุ่นบุกเบิกของฟาร์มที่แน่นอนว่า มี คาวเกิร์ลสาวสวย เป็นผู้แนะนำให้รู้จัก
                             ชมรถรุ่นบุกเบิกฟาร์มโชคชัยกับคาวเกิร์ล
พอโบกมือบ๊ายบาย ไกด์สาวสวย เราก็ตรงดิ่งขึ้นรถรางที่แน่นอนว่ามี คาวเกิร์ล เป็นไกด์สาวสวยพาทัวร์ ซึ่งทริปนั้นมีไกด์ชื่อ นันธิดา เป็นหัวหน้าคณะทัวร์ หรือเรียกตามภาษาฟาร์มโชคชัยก็คือ เจ้าหน้าที่นำชมนั่นเอง ป้ายแรก.....ที่รถรางจอด คือ ที่รีดนมวัว โดยมีแม่วัวทั้งสาวและแก่หันก้นไว้คอยให้รีดนมอยู่กว่า 48 ตัว ซึ่งทุกตัวพร้อมแล้วที่จะกลั่นนมออกจากเต้าให้รีด
งาน นี้ไกด์....อธิบายว่า เดิมทีเดียวกระบวนการรีดนมจะใช้แรงงานคน แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนมาเป็นกระบวนการรีดนมด้วยเครื่องหมด แล้ว เหตุผลเดียว คือ การใช้แรงงานคนช้ากว่าใช้เครื่อง  อีก อย่างการใช้เครื่องรีดนมสามารถป้องกันการของเสียหลุดเข้าไปในถังรองน้ำนมได้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างที่ถูกรีดนมอยู่นั้นเธอจะไม่ถ่ายของเสียออกมา ดังนั้นการใช้เครื่องรีดจึงปลอดภัยกว่า
            คนงานทดลองรีดนมวัวเพื่อดูว่าแม่วัวพร้อมกับการใช้เครื่องรีดนมหรือไม่
แต่ สิ่งหนึ่งที่ยังคงใช้แรงงานคนอยู่ คือ การทดลองบีบนมก่อนว่า น้ำนมของวัวตัวเมียพร้อมกับการรีดหรือไม่ ถ้าหากน้ำนมมีสีขาวปนแดงนั่นหมายความว่า แม่วัวไม่พร้อมต่อการรีด เพราะเธออาจจะไม่สบาย ถ้าคนงานทดลองรีดนมใส่ถังน้ำแล้วปรากฎว่า น้ำนมมีสีขาวขุ่นก็หมายความว่า แม่วัวสุขภาพปกติดี สามารถใช้เครื่องรีดนมเธอได้
ปกติแล้วแม่วัวแต่ละตัวจะให้นมวันละ 3 เวลา คือเวลา ตี 4 ,เก้าโมงเช้าและบ่ายสามโมงเย็น และมีพิกัดในการรีดนมได้เฉลี่ย 18 กิโลกรัม ต่อวันต่อตัว ซึ่งใกล้ ๆ บริเวณรีดนมวัวนั้น จะมีเครื่องวัดว่า แม่วัวแต่ละตัวให้นมในแต่ละครั้งไปแล้วกี่กิโลกรัม (เหมือนกับการเติมน้ำมัน) เมื่อเครื่องทำงานไปสักระยะและถึงเวลาที่น้ำนมจะถึงพิกัดที่กำหนด คนงานมาจะเดินมาปิดเครื่องรีดนมวัวตัวนั้นและถ้ารีดนมวัวตัวนั้นแล้วเสร็จ ก็ฉีดสเปรย์ที่มีสารละลายของทิงเจอร์ไอโอดีนให้กับแม่วัว ทั้งนี้เพื่อป้องกันมะเร็งเต้านม (เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแม่วัวก็เป็นมะเร็งเต้านมได้-ความรู้ใหม่)

หลังจากชมกระบวนการรีดนมและได้ทดลองรีดนมวัวแล้ว...ฟาร์มโชคชัยก็มีกระบวนการ ขายของ ด้วยการให้เราชมขั้นตอนการทำไอศครีมจากนมวัวและให้ลองชิมไอศครีมหลากรสชาติ จากนั้นก็ขึ้นรถรางตรงดิ่งเข้าสู่ ฟาร์มโชคชัย 
                                                   รถรางเที่ยวชมฟาร์ม
เมื่อ รถรางออกเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลของฟาร์มโชคชัย กลิ่นสาปแบบแปลกๆ ก็ลอยปะหน้าอย่างเต็มเต็ง ทำให้ไกด์สาวสวยของเรารีบบรรยายว่า จากนี้ไปจะเป็นส่วนที่วัวเนื้อและวัวนมอยู่ ซึ่งแต่ละคอกก็จะมีวัวอยู่คอกละ 48 ตัว ดังนั้นจึงขอให้ผู้เยี่ยมชมทุกท่านสูดกลิ่นขี้วัวให้เต็มปอดนะคะ พลันสิ้นเสียงไกด์คาวเกิร์ล ก็เรียกเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงทำให้การสูดกลิ่นขี้วัวครั้งนั้นไม่ได้เหม็นเท่าใดนัก
               
เธอบรรยายต่อว่า ฟาร์มโชคชัยมีวัวทั้งหมด 5 พันตัว ซึ่งมีทั้งวัวเนื้อและวัวนม โดยเหตุที่ต้องแบ่งให้แต่ละคอกมีวัวอยู่คอกละ 48 ตัวนั้นก็เป็นเพราะว่า ง่ายต่อการนำวัวไปยังเครื่องรีดนมนั่นเอง 
                  ดูคนขับรถรางค่อนข้างเคร่งขรึม
พอผ่านพื้นที่ปศุสัตว์แล้วก็เคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่สีเขียวที่มีหญ้าหลากหลายสายพันธุ์  ไกด์สาวบรรยายว่า ฟาร์มโชคชัยปลูกหญ้าหลายหลายชนิด แล้วเธอก็หยุดให้ลูกทัวร์ได้ลองทายดูว่า รู้จักหญ้าชนิดไหนบ้าง
          
ลูกทัวร์ที่เป็นกระทานายหนึ่งจึงตอบว่า หญ้าโรซี่"
ทำให้เธออมยิ้มแล้วอธิบายต่อว่า ถูกต้องค่ะ ที่นี่ปลูกหญ้าโรซี่ด้วย ความจริงแล้วหญ้าโรซี่มีคุณสมบัติ คือ แก่เร็ว ตายช้า ดังนั้นไปอย่าตั้งชื่อใครว่า โรซี่นะคะ มุขนี้เรียกเสียงหัวเราะแบบลืมร้อนไปเลยทีเดียว
                                              หนุ่มคาวบอยร่วมทริป
พอรถรางเคลื่อนเข้าสู่ท้องทุ่งหญ้าที่มีสีเขียวอ่อน ๆ  เธอก็อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า บริเวณนี้จะเป็นหญ้าอ่อนๆ ค่ะ ดูได้จากสีเขียวของหญ้าที่ยังสีเขียวอ่อน ๆ ไม่เข้มนัก ระหว่างนี้เธอก็หยอดอีกมุขหนึ่ง ลองทายสิคะว่า หญ้าอ่อน ๆ นี้เก็บไว้ให้วัวอายุกี่ขวบ 
          
แน่นอนมุขนี้ลูกทัวร์หลายรายตะโกนขึ้นพร้อมๆ กันว่า วัวแก่ พร้อมกับเสียงหัวเราะครึกครื้น
แต่เธอกลับให้ข้อมูลว่า ความ จริงแล้ว หญ้าอ่อนๆ ต้องให้วัวเด็กที่คลอดไม่กี่สัปดาห์ ดังนั้นสำนวนที่ว่า โคแก่กินหญ้าอ่อนจึงไม่น่าจะเหมาะกับหญ้าอ่อนชนิดนี้นะคะ 
            
เมื่อพ้นทุ่งเขียวขจีแล้ว.....ก็จะเห็นบ่อหญ้าหมัก(อ่านว่า บ่อหญ้าหมัก อย่าแปลความเป็นอื่นนะคะ)   ซึ่งมีรถบดหญ้าและโกดังเก็บหญ้าอยู่เป็นทิวแถว ระหว่างนี้ไกด์สาวคาวเกิร์ลคนเดิมอธิบายว่า นี่เป็นกระบวนการถนอมอาหารไว้ให้วัวค่ะ ใครอยากได้ซักฟ่อนไหมคะ หลายคนส่ายหน้าเลิ่กหลั่ก ซึ่งลูกทัวร์ข้าง ๆ ฉันบ่นพึมพำว่า แหม ๆ จะให้เอาอาหารที่ถนอมแล้วกลับไปกินเหรอจ๊ะ จึงทำให้ฉันแอบอมยิ้มไม่ได้ 
                                    กิจกรรมขี่ม้าในเมืองคาวบอยจำลอง
ป้ายที่สอง.......ที่รถรางจอดให้เที่ยวชม คือ เท็กซัส...เอ๊ยไม่ใช่ เป็นสถานที่จำลองเมืองคาวบอยค่ะ โดยมีคาวบอยออกมาโชว์การขี่ม้า โชว์ควงปืน โชว์การไส้แส้ โชว์การล้มวัวด้วยเชือก  และ สุดท้ายโชว์ตีตราวัว (เพื่อให้รู้ว่า วัวอายุกี่ขวบและให้รู้ว่าวัวตัวนั้นมาจากฟาร์มใด ซึ่งการโชว์สุดท้ายนี้ไม่ได้เป็นการโชว์จริง แต่เป็นการใช้เหล็กร้อนๆ ที่มีตราประทับบนวัวไม้อัดแทนวัวจริง)
 
ใครไม่อยากขี่ม้าจริงก็มีกิจกรรมขี่ม้าไม้
ภายหลังการโชว์นั้นลูกทัวร์มีเวลาสำหรับการเที่ยวชมเมืองจำลองประมาณ 20 นาที ดังนั้นใครใคร่ขี่ม้า...ก็ขี่ ใครใคร่อยากละเล่นอย่างอื่นก็มีให้เล่น อาทิ ยิงปืน ปาเป้า ปาลูกดอก ฯลฯ ซึ่งการละเล่นหลายอย่างก็จะเป็นเหมือนงานวัด (ฮา)
              
ส่วน ฉันไม่เลือกทำอะไรเลย เพราะแดดร้อนเปรี้ยงปร้างในช่วงเวลาหลังเที่ยง คงไม่ทำให้ฉันอยากขี่ม้ากลางแดดหรอก สิ่งเดียวที่ยั่วยวนน้ำลาย คือ ไอศครีมนมสด   ที่ตักคำแรกต้องบอกว่า อึ๊มม์ มันคลายร้อนได้เหมือนกันชื่อ อึ๊มม์ มิลค์จริงๆๆ 
                               คาวบอยโชว์การใช้แส้
             กิจกรรมคาวบอยโชว์การล้มวัวด้วยเชือก
โปสการ์ดของคาวบอยมีให้เห็นอยู่มากในเมืองคาวบอยจำลอง

ถัดจากเมืองคาวบอยจำลองเราก็เคลื่อนรถรางเข้าสู่ฟาร์มสุนัข ทว่าก่อนที่ไปถึงฟาร์มสุนัขเราได้เห็นวิธีการต้อนแกะของสุนัขต้อนแกะ (sheep dog) ที่สุนัขต้อนแกะนี้จะตัวเล็กคล้ายสุนัขจิ้งจอก แต่เป็นคนละสายพันธุ์ ซึ่งเขาก็จะมีวิธีการเลี้ยงแกะได้ดีและสามารถต้อนแกะให้กลับเข้ากรงได้อย่าง น่าทึ่ง
              
                                                              การโชว์สุนัขต้อนแกะ
 แต่ดูเหมือนว่า แกะ จะไม่ค่อยชอบหน้าสุนัขต้อนแกะเอาเสียเลย เพราะถ้าหากแกะตัวใดไม่ฟัง วิธีการเดียวที่ถูกกระทำ คือ การกัด   โดยระหว่างกระบวนการต้อนนั้นจะไม่มีแกะตัวใดอยากอยู่ท้าย ๆ แถวเลย เพราะกลัวว่าจะถูกงับเข้าที่สะโพก  ซึ่งจะทำให้มันได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นตัวที่อยู่สุดท้ายจึงมักกระโดดข้ามเพื่อน ๆ เพื่อแย่งกันไม่ขออยู่ท้ายแถว 
พ้น การดูวิธีการต้อนแกะของสุนัขต้อนแกะแล้ว รถรางของเราก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ฟาร์มสุนัข ซึ่งเป็นฟาร์มที่มีสุนัขหลากหลายสายพันธุ์ โดยบริเวณฟาร์มดังกล่าวจะรับฝึกสุนัขด้วย ดังนั้นสุนัขที่ได้รับการฝึกแล้วจึงสามารถไปทำตามคำสั่งได้อย่างไม่อิดออด และเราก็ได้โชว์สุนัขที่เรียกเสียงฮาได้แบบขำกลิ้ง แบบลืมหิว ลืมร้อน ลืมเหนื่อยไปเลยทีเดียว
               
                         กิจกรรมป้อนอาหารแกะ(แกะชอบกินถั่วฝักยาว)
ใกล้ กันนั้นก็มีสวนสัตว์ที่ให้เราได้เที่ยวชมได้เหมือนเขาดิน แต่สวนสัตว์ของฟาร์มโชคชัยจะปล่อยให้สัตว์ได้อยู่แบบธรรมชาติ โดยปล่อยให้กวางเดินส่ายสะโพกประหนึ่งเป็นป่าใหญ่  ปล่อยให้แกะเดินดุ่ม ๆ เสมือนหนึ่งได้เดินกลางทุ่งหญ้า
การ ทำเช่นนี้ทำให้สัตว์คุ้นชินกับผู้คนจนลืมคิดว่า ตัวเองเป็นสัตว์ป่าไปแล้วกระมัง เพราะพอพวกมันเห็นคน มันก็ตรงดิ่งเข้าหา โดยคิดว่า น่าจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาฝากมัน
แน่ นอนใกล้ๆ กันนั้นก็มีอาหารสัตว์ไว้ขายเพื่อให้นักเทียวได้ซื้อเลี้ยงพวกมัน และนี่เป็นกลวิธีที่ฟาร์มโชคชัยให้นักท่องเที่ยวเลี้ยงอาหารมันเป็นการตอบ แทนนั่นเอง(ฮา)
 
เวลากว่า 2 ชั่วโมงฉันจึงได้ดื่มด่ำกับ ความฝันที่เป็นจริง แม้จะไม่ได้เป็นคนงานในฟาร์มและรู้ว่า  เบื้องหน้าที่ได้พบเห็นนั้นเป็นการแสดงและเป็น set up ขึ้นเพื่อเอาใจนักท่องเทียว แต่ฉันก็มีความสุขกับ วัว ที่ฉันเห็นและสัตว์อีกนานาชนิดที่อยู่ในฟาร์มอันเขียวขจี 
                                     ขากลับก็แวะร้านของฝากนิดๆ หน่อย
แม้ แดดจะแผดร้อนมากแค่ไหน ทว่าจิตใจของฉันไม่ได้ร้อนรุ่มไปกับเปลวแดด แม้หลังจากตระเวนฟาร์มแล้ว อุณหภูมิในร่างกายจะแปรเปลี่ยนจนไปแทบจะทานทนไหวและทำให้ฉันป่วยไข้ ทว่าฉันก็ป่วยไข้ด้วยความสุขและไม่โทษใคร เพราะต้องโทษตัวเองที่ไปสายทำให้แดดร้อน

บทสรุปหลังการได้ ท่องเที่ยวกึ่งฟาร์มปศุสัตว์ ครั้งนี้จึงได้รับบทเรียนอย่างหนึ่งว่า อย่านอนตื่นสาย นั่นเอง(ฮา) เพราะการเที่ยวหน้าร้อนแดดจะแผดเผาเอาจนทำให้เราเสียอรรถรสในการเยี่ยมชมนั่นเอง