Saturday, November 24, 2012

สายพันธุ์แกะ

สายพันธุ์แกะ
สายพันธุ์แกะก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการเลี้ยงแกะเพราะ หากสายพันธุ์ไม่ดีหรือไม่มีคุณภาพหรือว่าเลือกสายพันธุ์ไม่เหมาะสมกับสภาพ ภูมิอากาศและสภาพพื้นที่เลี้ยงแล้วอาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยง

1) แกะพันธุ์คาทาดิน
กรมปศุสัตว์ได้รับการสนับสนุนพ่อพันธุ์นี้จากสถาบันวินร็อค ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ.2532 เป็นแกะเนื้อที่รัปบตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เลี้ยงปล่อยตามทุ่งหญ้าธรรมชาติได้โดยไม่ต้องเสิรมอาหารข้น ผลัดขนเองเมื่ออากาศร้อน ทนพยาธิภายในมากกว่าแกะพันธุ์อื่น เนื้อแกะคุณภาพดี ไม่มีกลิ่นสาบ น้ำหนักแรกเกิด 2.5-3.1 กก. น้ำหนักหย่านม 18-20 กก. โตเต็มที่ตัวผู้หนัก 90 กก. ตัวเมีย 55-60 กก.

2) แกะพันธุ์ซานตาอิเนส
เป็นแกะเนื้อ จำเข้าจากประเทศบราซิล ปี พ.ศ.2540 ขนาดใหญ่ใบหูยาวปรก หน้าโค้งนูน มีหลายสี น้ำหนักแรกเกิด 2.5-3.5 กก. น้ำหนักหย่านม 18-20 กก. โตเต็มที่ตัวผู้หนัก 80-90 กก. ตัวเมีย 60 กก.

3) แกะพันธุ์บาร์บาโดส แบล็คเบลลี
เป็นแกะเนื้อ มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะบาร์บาโดส แถบทะเลแคริบเบียน มีสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม และมีสีดำที่ใต้คาง ใต้ใบหู บอบตา และบิรเวณพื้นท้องลงมาถึงใต้ขา มีลักษณะพิเศษคือให้ลูกดก อัตราการเกิดลูกแฝดสูง 60.8% แม่แกะวัยเจริญพันธุ์หนัก 45 กก. ขนาดครอก 1.5-2.3 ตัวต่อครอก น้ำหนักแรกเกิดลูกเดี่ยว 3.0 กก. ลูกแฝด 2.8 กก. น้ำหนักหย่านมอายุ 4 เดือน ลูกเดี่ยว 1.7 กก. ลูกแฝด 13.4 กก. และน้ำหนักโตเต้ฒที่ เพศผู้ 68-90 กก. เพศเมีย 40-59 กก.

4) แกะเนื้อพันธุ์ดอร์เปอร์
มีลักษณะเนื้อที่มีคุณภาพสูง สามารปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี ทนแล้ง มีลำตัวสีขาว หัวสีดำ ไม่มีเขา

นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ได้นำแกะพันธุ์เซ้าท์แอฟริกันมัตตอนเมอริโน, แกะพันธุ์คอร์ริเดล
และแกะพันธุ์บอนด์ ซึ่งให้ผลผลิตทั้งเนื้อและขนที่มีลักษณะดีเข้ามาเลี้ยงปรับปรุงพันธุ์แกะ
ในประเทศ เพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้แก่เกษตรกร

แกะพันธุ์คอร์ริเดล

การจัดการด้านอาหารแกะ

การจัดการด้านอาหารแกะ

พฤติกรรมที่แตกต่างระหว่างแกะกับแพะ
1. แกะมีนิสัยชอบเล็มหญ้าในทุ่งที่โล่งเตียน ต่างจากแพะ ซึ่งชอบปีน กินใบไม้ เปลือกไม้
2. แพะสามารถอยู่ในพื้นที่ชุ่มชื่นและร้อนได้ดีกว่าแพะ
3. แพะสามารถปีน กระโดดข้าม หรือแม้แต่การขุดดินมุดรั้วได้ ซึ่งแกะทำไม่ได้
4. แพะฉลาดกว่าแกะ หันหน้าเข้าสู้กับศัตรู ขณะที่แกะจะวิ่งหนีศัตรู ขี้ขลาด และแกะมักอยู่รวมกันเป็นฝูง
5. พ่อพันธุ์แพะจะดึงดูดความสนใจจากตัวเมีย โดยการปัสสาวะรดที่ขาหน้า ท้อง อก และเครา แต่แกะจะมีกลิ่นตัวฉุนรุนแรงเพิ่มขึ้นในระยะผสมพันธุ์
นิสัยการกินอาหารของแกะ
แกะ สามารถกินหญ้าได้หลายชนิดและพุ่มไม้ต่างๆ แต่แพะมีนิสัยชอบ เลือกกินหญ้า หรือพืชที่มีลำต้นสั้น ชอบกินหญ้าที่งอกขึ้นใหม่ๆ หญ้าหมักและ ใบพืชผัก ตลอดจนพืชหัวประเภทต่างๆ ซึ่งอาจเลี้ยงแกะในแปลงผักต่างๆ หลักการ เก็บเกี่ยวได้ แต่ควรปล่อยให้ใบพืชผักเหล่านั้นแห้งน้ำก่อน เนื่องจากถ้ากิน ในขณะพืชผักนั้นยังสดอยู่ อาจทำให้แกะท้องอืดได้ เพราะพืชผักนั้นมีน้ำ มาก และควรระวังยาฆ่าแมลงที่ใช้ในส่วนพืชผักนั้นด้วย
แกะ เดินแทะเล็มหญ้าวนเวียนไม่ซ้ำที่กันแม้จะมีหญ้าอยู่มากก็ตาม ก็ยังคงเดินต่อไป ยิ่งมีหญ้ามากแกะก็จะเลือกมากเลือกกินแต่หญ้าอ่อนๆ เช่น เดียวกับแพะซึ่งไม่ชอบกินหญ้าในที่เดียวกันเป็นเวลานานๆ การเลี้ยงแกะที่มี อายุมากหรือลูกแกะที่ยังเล็กควรเลี้ยงในแปลงหญ้าที่มีคุณภาพดี เพราะฟันของ แกะเหล่านี้ไม่ค่อยดี การดักหญ้ามนแต่ละครั้งจะได้ปริมาณหญ้าที่น้อย
ในการปล่อยแกะแทะเล็ม ควรปล่อยแกะลงกินหญ้าที่มีความสูงจากพื้นดิน อยู่ระหว่าง 4-8 นิ้ว ส่วนแพะชอบกินหญ้าที่มีความสูงมากกว่า 10 นิ้ว จนถึง ความสูงที่สุดเท่าที่จะกินได้ ไม้พุ่มไม้หนามแพะจะชอบกินมาก รวมทั้งยอดอ่อน ของต้นพืช ส่วนแกะจะเก็บกินหญ้าที่สั้นตามหลัง
การเลี้ยงแกะในสวนยาง สวนผลไม้ เช่น ส่วนมะม่วง มะขาม และ ขนุน เป็นต้น เพื่อช่วยกำจัดวัชพืช แกะสามารถกินผลไม้ที่ร่วงหล่นลงเป็น อาหารได้ด้วย นอกจากนี้ยังอาศัยร่มเงาของต้นไม้หลบแสงแดดร้อนได้ แต่ไม่ควร ปล่อยแกะลงไปในส่วนที่ผลไม้ร่วมหล่นมากๆ ในครั้งแรก เพราะอาจจะกินมากเกิน ไป ทำให้ท้องอืดได้ ถ้าเลี้ยงปล่อยอยู่แล้วเป็นประจำก็จะไม่มีปัญหามากนัก
พฤติกรรมการกินเมื่อเลี้ยงปล่อยแทะเล็ม
แกะจะเดินหากินอาหารได้ไกลถึงวันละ 6-8 กม.
ปริมาณที่กินได้ 3-6% นน.ตัว (ถ้าแกะหนัก 30 กก. จะกินหญ้าสดวันละ 3กก./ตัว)
แกะเลือกกินหญ้า 70% ไม้พุ่ม 30% แพะเลือกกินไม่พุ่ม 72% หญ้า 28%
ถ้าขัง จะกินน้ำวันละ 0.68 ลิตร/ตัว ปล่อยเลี้ยง 2 ลิตร/ตัว
ใช้เวลากินอาหาร 30% เคี้ยวเอื้อง 12% เดินทางหาอาหาร 12% และผักผ่อน 46%

1. การตัดใบไม้ให้กินไม่ควรให้เกิน 1 ใน 3 ของหญ้า
2. การตัดกิ่งไม้ควรเลือกกิ่งที่มีใบมากๆ ไม่แก่เกินไป
3. ควรตัดใบพืชตระกูลถั่ว เช่น ใบกระถิน แค ทองหลางให้แม่แกะที่อุ้มท้อง หรือกำลังเลี้ยงลูก

4. ควรตัดให้เหนือจากพื้นดินไม่น้อยกว่า 1 เมตร
5. ควรผูกกิ่งไม้กแขวนไว้เหนือพื้นเพื่อให้แกะได้เลือกกิน
6. ควรตัดใบไม้มากกว่า 2 ชนิด ให้แกะได้เลือกกิน และปลูกต้นไม้ 2-3 ชนิด ริมรั้วโรงเรือนให้กิกนและให้ร่มเงา

7. ควรปล่อยแกะลงแบบหมุนเวียน แปลงละ 4-5 สัปดาห์ เพื่อใช้แปลงอย่างมีประสิทธิภาพและตัดวงจรพยาธิ
8. ควรปล่อยแกะลงแปลงหญ้าช่วงสายหลังจากหมดน้ำค้างแล้ว ถ้าตัดให้กินควรตัดตอนช่วงบ่ายและตัดเหนือพื้นดิน เพื่อป้องกันพยาธิ

แกะกินอะไรถึงอ้วนและสุขภาพดี
การคัดเลือกพันธุ์และการผสมพันธุ์แกะ
หลักการผสมพันธุ์ มีข้อแนะนำดังนี้
1. พ่อแม่พันธุ์คัดเลือกจากะที่มีความสมบูรณ์พันธุ์ มีการเจริญเติบโตดี มีประวัติการให้ลูกแฝดสูง
2. ห้ามนำพ่อแม่มาผสมกับตัวลูกของมันเอง
3. ห้ามนำลูกที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันมาผสมกันเอง

การคัดเลือกลักษณะที่ดีของแกะไว้ทำพันธุ์


การคัดเลือกลักษณะที่ไม่ดีออกจากฝูง

การทำนายอายุแกะโดยการดูจากลักษณะของฟัน
หลักการผสมพันธุ์

ลักษณะโรงเรือน

ลักษณะโรงเรือน
โรง เรือน ควรทำคอกให้อยู่ มีหลังคากันแดดและฝน ยกพื้นสูง เพื่อทำความสะอาด ง่าย มีที่ใส่น้ำและอาหาร ความยาวรางอาหารมีพอให้แกะกินได้ครบทุกตัว และมี ที่แบ่งกั้นเพื่อกันตัวอื่นที่แข็งแรงกว่าแย่งกินอาหาร และถ้าเป็นไปได้ควร แบ่งกั้นคอกสำหรับเลี้ยงแกะโต แกะเล็ก แม่อุ้มท้อง แม่เลี้ยงลูก หรือคอกลูก แกะ

ลักษณะของโรงเรือนแกะควรยกพื้นสูงและมีหลังคาเพื่อให้แกะได้หลบแดดหลบฝน

พื้นคอก ทำเป็นไม้ระแนง ในแกะโตมีความห่าง 1.5 ซ.ม. แกะเล็ก 1.3 ซ.ม. เพื่อให้มูลและปัสสาวะลงพื้นดิน พื้นคอกจะได้แห้งและสะอาด รวมทั้งช่วยป้องกันพยาธิที่อาจติดออกมากับมูลได้ และเก็บมูลใต้คอกใช้ทำปุ๋ยต่อไป

พื้นดินเทปูนลาดเอียงทำความสะอาดง่าย

ใช้แผ่นพลาสติกรองรับของเสียลงถัง ปัสสาวะเพิ่มยูเรีย

รั้ว กั้นแปลงหญ้า อาจทำจากวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่นที่มีราคาถูก เช่น ไม้รวก หรืออวนจับปลา

อุปกรณ์ ควรมีมีดหรือกรรไกรตัดแต่งกีบ เพื่อป้องกันโรคกีบเน่า เขี่ยสิ่งสกปรกที่ซอกออก ตัดส่วนที่งอกเกินออก ตัดให้ได้รูปกีบที่ถูกต้อง ควรหมั่นตรวจกีบแกะสม่ำเสมอ (ตัดกีบเดือนละครั้ง) โดยเฉพาะแกะที่เลี้ยงขังคอกตลอดเวลา อาจวางก้อนหินใหญ่ไว้ในคอก
ลักษณะกีบที่ดี แข็งแรง สูงเสมอกัน ไม่ผิดรูป ผิวเรียบ ไม่มีรอยฉีกแตกหรือมีสิ่งหมักหมม

การจัดการเลี้ยงดู

การจัดการเลี้ยงดู
ช่วงวัยเจริญพันธุ์ (ระยะการเป็นสัด)
แกะเริ่มวัยเจริญพันธู์เมื่ออายุ 3-4 เดือน ตัวเมียจะเป็นสัดยอม ให้ตัวผู้ขึ้นทับผสมพันธุ์ได้ ควรแยกลูกตัวเมียออกไปเลี้ยงเฉพาะในคอกตัว เมีย และจะให้ผสมพันธุ์กันเมื่ออายุ 8 เดือนขึ้นไป เพื่อให้พ่อแม่มีความ สมบูรณ์พันธุ์ก่อน มิฉะนั้นอาจทำให้ตัวแม่ไม่พร้อมและเลี้ยงลูก น้ำนม น้อย ลูกที่เกิดอาจตัวเล็ก แคระแกรน และอ่อนแอตายได้
ลักษณะการเป็นสัดของแม่แกะ สังเกตดูได้จาก
-อวัยวะเพศบวมแดง ชุ่มชื้น และอุ่น
-กระดิกหางบ่อยขึ้น
-จะยืนเงียบเมื่อตัวผู้หรือตัวอื่นมายืนประกบติด
-ไม่ค่อยอยู่สุขกระวนกระวาย และไม่อยากอาหาร
แม่แกะมีวงรอบการเป็นสัดทุก 17 วัน ส่วนต่าง 2 วัน แม่แพะมีวงรอบการเป็นสัดทุก 21 วัน ส่วนต่าง 2 วัน

ช่วงการผสมพันธุ์
เมื่อเห็นแม่แกะเป็นสัดแล้ว ระยะที่เหมาะสมให้ตัวผู้ขึ้นทับคือ 12-18 ชั่วโมง หลังจากที่เห็นอาการการเป็นสัด
อัตราส่วนพ่อพันธุ์/แม่พันธุ์
-พ่อหนุ่ม 1 ตัว ต่อแม่ 10-15 ตัว
-พ่ออายุ 2 ปีขึ้นไป 1 ตัว ต่อแม่ 20-30 ตัว
ข้อแนะนำ
1. ไม่ควรนำพ่อผสมกับลูกตัวเมีย หรือลูกตัวผู้ผสมกับแม่ เพราะอาจทำให้ลูกที่เกิดขึ้นตัวเล็กลง ไม่สมบูรณ์ หรือลักษณะที่ไม่ดี พิการออกมา
2. ควรสับเปลี่ยนหมุนเวียนพ่อพันธุ์ตัวใหม่ทุก 12 เดือน (แลกหรือขอยืมระหว่างฟาร์ม/หมู่บ้าน)
3. ควรคัดแม่ที่ผสมไม่ติด 2 ครั้งออกไป
4. ควรแยกเลี้ยงแม่ท้องแก่ และแม่เลี้ยงลูกไว้ในคอกต่างหาก เพื่อกันอันตรายจากตัวอื่น
ช่วงการอุ้มท้อง (ระยะอุ้มท้อง 150 วัน)
-สังเกตดูว่าแม่แกะอุ้มท้อง
-ไม่แสดงอาการเป็นสัดอีกหลังจากผสมพันธุ์ไปแล้ว 17-21 วัน
-ท้องขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับ
-เต้านมและหัวนมขยายใหญ่ขึ้นจากเดิม
ช่วงระยะอุ้มท้องน้ำหนักแม่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 5 กก. ดังนั้นควรเสริมหญ้า ถั่ว หรือพืชตระกูลถั่วต่างๆ และเสริมอาหาร รำข้าว กากถั่วเหลือง หรือวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น แอ้ข้าวโพด และควรมีน้ำสะอาดวางให้กินเต็มที่ และคอกเลี้ยงควรแห้ง สะอาด พื้นคอกแข็งแรง ไม้ระแนงไม่ผุพัง เพื่อป้องกันการแท้งลูก
ช่วงการคลอดลูก
ลักษณะอาการใกล้คลอดลูกของแม่แกะ สังเกตจาก
-ตะโพกเริ่มขยาย หลังแอ่นลง (เพราะท้องหนักขึ้น)
- เต้านมขยายใหญ่มากขึ้นและหัวนมแต่ง
-อวัยวะเพศบวมแดง และชุ่มชื้น
-จะไม่นอน แต่ลุกขึ้น เอาเท้าตะกุยพื้นคอก
-ความอยากอาหารลดลง
การเตรียมตัวก่อนแม่คลอดลูก
-ควรหาคอกที่สะอาด และพื้นไม่ชื้นแฉะ
-ควรมีฟางแห้งรองพื้นให้ความอบอุ่นลูก ช่วงกลางคืน หรือฤดูหนาว ควรมีไฟกกลูก
-พื้นระแนงที่เลี้ยงลูกควรมีช่องห่างไม่เกิน 1.3 ซ.ม.
-ควรมีทิงเจอร์ไอโอดีนทาแผลที่ตัดสายสะดือ
อาการใกล้คลอดลูก
-ท่าคลอดปกติ ลูกจะเอาเท้าทั้ง 2 ข้างออก หรืออาจจะเอาเท้าหลังทั้ง 2 ข้าง
-ท่าคลอดผิดปกติ เอาเท้าออกข้างเดียว อีกข้างพับอยู่ด้านใน อาจทำให้มีปัญหาการคลอดยาก
ปกติลูกควรจะออกจากท้องแม่ใน 5-15 นาที หรือภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากที่ถุงน้ำคล่ำแตกแล้ว และรกควรออกมาภายใน 4-12 ชั่วโมง เมื่อลูกออกมาปล่อยให้แม่เลียลูกให้ตัวแห้งหรืออาจช่วยเช็ดตัวลูก และตัดสายสะดือ ทาทิงเจอร์
สาเหตุที่ทำให้เกิดการคลอดยาก เพราะ
-ลูกคลอดท่าผิดปกติ
-แม่มีกระดูกเชิงกรานแคบเกินไป
- ลูกตัวใหญ่เกินไป
-ลูกตายในท้องแม่
-แม่ไม่สมบูรณ์ อ่อนแอ
การช่วยการคลอด
หากลูกคลอดผิดท่า หลังจากปล่อยให้แม่คลอดลูกเองแล้ว ใน 1 ชั่วโมง ลูกยังไม่คลอดออกมา ควรให้ความช่วยเหลือ โดย
-ตัดเล็บมือให้สั้น ลับคมออก ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่
-ล้างบริเวณอวัยวะเพศ/ด้านท้ายให้สะอาดด้วยสบู่
-ให้ผู้ช่วยค่อยๆ จับแม่แกะวางนอนลงทางด้านขวาตัวแม่ทับพื้น จับบริเวณคอ
-ค่อยๆ ใช้มือล้วงเข้าไปในอวัยวะเพศ
-สัมผัสลูก ให้รู้ตำแหน่งหัวหรือเท้า แล้วจึงดึงเท้าให้ออกมาทั้ง2 ข้าง ในท่าที่ถูกต้องช้าๆ
-เมื่อลูกออกมาแล้ว เช็ดเมือกบริเวณปากจมูกเพื่อกระตุ้นให้ลูกหายใจแล้วปล่อยให้แม่เลียตัวลูก
กรณีอื่น ที่ไม่สามารถช่วยคลอดได้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันที
แม่แกะจะเริ่มกลับเป็นสัดอีกครั้ง หลังจากที่คลอดลูกแล้วประมาณ 35-45 วัน ดังนั้น จึงควรระวังหากแม่ยังไม่สมบูรณ์พอ เช่น ต้องเลี้ยงลูกแฝด ควรให้ผสมใหม่เมื่อแม่หย่านมลูกแล้วและมีความพร้อมสมบูรณ์ ถ้าแม่ให้ลูกตัวเดียว สามารถผสมได้เลยเมื่อเป็นสัด
การเลี้ยงดูลูกช่วงแรกคลอด
ควรให้ลูกได้กินนมน้ำเหลืองจากแม่ทันที ถ้าหากลูกอ่อนแอ อาจรีดนมแม่ใส่ขวดหรือหลอดฉีดยาแล้วนำมาป้อนลูกด้วยตนเอง
หากแม่ไม่มีน้ำนมเลี้ยงลูก หรืแม่ตาย อาจใช้นมน้ำเหลืองเทียม ทำขึ้นเองโดยใช้ส่วนผสม ดังนี้
นมวัว หรือนมผง 0.25-0.5 ลิตร
น้ำนมตับปลา 1 ช้อนชา
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำตาล 1 ช้อนชา
ผสมละลายให้เข้ากันและอุ่นนมที่อุณหภูมิ 60 องศา ป้อนให้ลูกดูดกิน 3-4 วันๆ ละ 3-4 ครั้ง หลังจากนั้นฝากแม่ตัวอื่นเลี้ยง ซึ่งต้องคอยดูแม่ ยอมรับเลี้ยงรับเลี้ยงลูกกำพร้าหรือไม่ ถ้าไม่ยอมรับอาจใช้ยาหม่องหรือของที่มีกลิ่นฉุนป้ายจมูกแม่ หรือใช้เชื่อกผูกคอแม่เพื่อไม่ให้เห็นลูกกำลังดูดนม
การเลี้ยงดูลูกช่วงการหย่านม
ควรดูแลเรื่องความสะอาดทั้งอาหารและพื้นคอก ป้องกันลูกขี้ไหล
ควรให้ลูกได้หัดกินหญ้าและอาหารเสริมตั้งแต่อายุ 3-4 สัปดาห์
ลูกที่หย่านมแล้ว ลูกตัวเมียตวรเลี้นงแยกออกจากตัวผู้ เพื่อป้องกันการผสมกันเอง เนื่องจากแกะเป็นสัดเร็วในช่วง 4-6 เดือน หากปล่อยให้ผสมกันเองตั้งแต่เล็กจะทำให้แคระแกรนและลูกอ่อนแอตาย

การจัดการด้านสุขภาพแกะ

การจัดการด้านสุขภาพแกะ

วงจรของโรคที่ทำให้สัตว์ป่วยรวมถึงสุขภาพและร่างกายของสัตว์เป็นสิ่งที่สำคัญในการก่อให่สัตว์เกิดโรค

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสุขภาพแกะ
อุณหภูมิร่างกาย 102.5-104 องศาฟาเรนไฮด์
อัตราการเต้นหัวใจ 60-80 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจ 15-30 ครั้ง/นาที
วัยเจริญพันธุ์ 4-12 เดือน
วงรอบการเป็นสัด 17+/-2 วัน
ระยะการเป็นสัด 12-36 ชั่วโมง
ระยะการอุ้มท้อง 150 วัน
การดูแลสุขภาพของแกะผู้เลี้ยงอาจพบปัญหา แกะมีสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วย จึงต้องหมั่นเอาใจใส่ดูแลในเรื่องสุขภาพ ดังนี้
1. กำจัดพยาธิภายนอก ได้แก่ เห็บ เหา ไร ซึ่งทำให้สัตว์รำคาญ และขนหลุดเป็นหย่อมๆ หรือเป็นขี้เรื้อนมีผลทำให้สุขภาพไม่ดี ผลผลิตลดลง การป้องกันแก้ไขโดยอาบน้ำและฉีดพ่นลำตัวด้วยยากำจัดพยาธิภายนอก
2. กำจัดพยาธิภายใน ได้แก่ พยาธิตัวกลม ตัวตืด และพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งพยาธินี้จะทำให้ซูบผอม เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ขนและผิวหนังหยาบกร้าน ท้องเสีย ผลผลิตลด ถ้าเป็นรุนแรงทำให้โลหิตจางและตาย การป้องกันปกติถ่ายพยาธิแกะทุก 3 เดือน แต่ถ้าพบว่าบริเวณที่เลี้ยงแกะมีพยาธิชุกชุม ให้ถ่ายพยาธิทุก 1 เดือน
3. การป้องกันโรคระบาด ได้แก่ โรคปากและเท้าเปื่อย โดยฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์กำหนด
โรคที่มักพบในแกะ
1. ท้องอืด
สาเหตุ เกิดก๊าซจากการหมักในกระเพาะอาหารเนื่องจากกินหญ้าอ่อนหรือพืชใบอ่อนถั่วมากเกินไป
อาการ กระเพาะอาหารพองลมขึ้นทำให้สวาปทางซ้ายของแกะป่องขึ้น
การป้องกัน
-ไม่ควรให้แกะกินพืชหญ้าหรือพืชตระกูลถั่วที่ชื้นเกินไป
- หลีกเลี่ยงอย่าให้แกะกินพืชเป็นพิษ เช่น มันสำปะหลัง หรือไมยราพยักษ์
การรักษาและควบคุม
- ถ้าท้องป่องมากอย่าให้แกะนอนตะแคงซ้าย
-กระตุ้นให้แกะยืนหรือเดิน
-เจาะท้องที่สวาปซ้ายด้านบนด้วยเข็มเจาะหรือมีดเพื่อระบายก๊าซออก
2. ปวดบวม
สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ จมูกแห้ง ขนลุก มีไข้ ซึม เบื่ออาหาร หายใจหอบ มีน้ำมูกข้น ไอหรือจามบ่อยๆ
การป้องกัน ปรับปรุงโรงเรือนให้อบอุ่น อย่าให้ลมโกรก ฝนสาด
การรักษาและควบคุม ใช้ยาปฏิชีวนะโดยการฉีด 3 วันติดต่อกัน เช่น ไทโลซิน คลอแรมฟินิคอล เตตราซัยคลิน เป็นต้น
3. โรคกีบเน่า
สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ เดินขากะเผลก กีบเน่ามีกลิ่นเหม็น
การป้องกัน
- รักษาความสะอาด อย่าให้พื้นคอกสกปรก ชื้นแฉะ
- หลีกเลี่ยงสิ่งของมีคม เช่น ตะปูไม่วางบนพื้น ทำให้กีบเท้าเป็นแผล
-ตัดแต่งกีบเป็นประจำปกติ
การรักษาและควบคุม
-ทำความสะอาด ตัดส่วนที่เน่าออก ล้างจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ฟอร์มาลีน 2-3% หรือสารละลายด่างทับทิม 10%
-ใช้ผ้าพันแผลที่เน่า ป้องกันแมลงและบรรเทาการเคลื่อนไหว
4. โรคบิด
สาเหตุ เกิดจากเชื้อโปรโตซัวในลำไส้
อาการ แกะถ่ายเหลว อาจมีมูกเลือดปน ผอม ท้องเสีย หลังโก่ง
การป้องกัน
-อย่าให้แปลงหญ้าชื้นแฉะ
-ไม่ล่ามแกะซ้ำที่เดิม
การรักษาและควบคุม
-โดยทั่วไปแกะมักมีเชื้อบิดอยู่แล้ว ถ้ามีไม่มากนักจะไม่แสดงอาการ
-ถ้าแกะแสดงอาการป่วย ให้ใช้ยาในกลุ่มทัลทาซูริล กรอกให้กิน
5. โรคปากเป็นแผลผุพอง
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส
อาการ เกิดเม็ดตุ่มเหมือนดอกกระหล่ำขึ้นที่ริมฝีปาก และจมูก อาจลุกลามไปตามลำตัว
การป้องกัน
-เมื่อมีแกะป่วยให้แยกออก รักษาต่างหาก
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์แมลงหวี่แมลงวันซึ่งเป็นตัวนำเชื้อไวรัส
การรักษาและควบคุม
-ใช้ยาสีม่วงหรือสารละลายจุลสี 5% ทาที่แผลเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะหาย
-ควบคุมกำจัดแมลง
-แยกขังตัวป่วยออกจากตัวดี
6. ปากและเท้าเปื่อย
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส
อาการ เกิดเม็ดตุ่มพองขึ้นที่ไรกีบ ริมฝีปากและเหงือก ทำให้เดินขากะเผลกและน้ำลายไหล แต่ อาการจะไม่เด่นชัดเหมือนในโค-กระบือ
การป้องกัน รักษาและควบคุม
ดูแลสุขาภิบาล
-ใช้ยาสีม่วงป้ายแผลที่เปื่อยวันละ 1 ครั้ง
-แยกขังแกะป่วยแล้วรักษาให้หาย
-ให้วัคซีนป้องกันทุก 6 เดือน

สถานที่เลี้ยงแกะของกรมปศุสัตว์

แหล่งกำเนิด : ประเทศอังกฤษ
ลักษณะประจำพันธุ์ : แกะพันธุ์นี้เมื่ออายุ 1 ปี จะมีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม เหมาะที่จะใช้เป็นแกะที่ให้เนื้อโดยเฉพาะ มีขนสั้นและในฤดูร้อนสามารถสลัดขนทิ้งเองได้ แกะพันธุ์นี้เหมาะที่จะใช้สำหรับปรับปรุงพันธุ์แกะเนื้อในแถบร้อนมีหลาย ประเทศที่ใช้แกะพันธุ์นี้เพื่อปรับปรุง พันธุ์ เช่น ประเทศมาเลเซีย เนื่องจากตลาดบ้านเรามีความต้องการแกะเพื่อบริโภคเนื้อเป็นส่วนใหญ่ แกะพันธุ์นี้จึงน่าที่จะนำมาใช้ปรับปรุงพันธุ์

สถานที่เลี้ยงแกะของกรมปศุสัตว์


-หน่วยงานของกรมปศุสัตว์ที่เลี้ยงแพะและแกะที่เกษตรกรและผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปหาความรู้หรือเข้าไปติดต่อขอซื้อพันธุ์
สถานีต่างๆของกรมปศุสัตว์ที่มีการเลี้ยงแพะ-แกะ
รายชื่อพันธุ์แกะและแพะชนิดต่างๆ

การเก็บบันทึกข้อมูล
การทำเบอร์ประจำตัว
การทำเบอร์ประจำตัวเพื่อเก็บบันทึกข้อมูลลงในทะเบียนประวัติของแกะ แต่ละตัว มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อผู้เลี้ยงมาก ทำให้ทราบประวัติสาย พันธุ์ และความสามารถในการผลิต (เช่น น้ำหนักแรกเกิด น้ำหนักหย่านม อัตรา การเจริญเติบโตระยะต่างๆ การให้นม การให้ลูก) รวมทั้งช่วยในการจัดการผสม พันธุ์และการคัดเลือกพันธุ์ ทำให้การปรับปรุงพันธุ์เป็นไปอย่างแม่นยำ ขณะ เดียวกันช่วยป้องกันการผสมเลือดชิดที่อาจเกิดขึ้นในฟาร์ม วิธีการทำเบอร์ ประจำตัวสัตว์ที่นิยมทำกัน มีอยู่ 3 วิธี คือ
1. การใช้คีมสักเบอร์หู เบอร์จะปรากฎอยู่ด้านในของใบหูไม่ค่อยลบเลือนง่าย เหมาะสำหรับแกะขังคอก เพราะต้องจับพลิกดูเบอร์ที่ด้านในของหู
2. การติดเบอร์หู โดยใช้แผ่นพลาสติกหรือโลหะที่มีหมายเลข แล้วใช้คีมหนียบให้ติดกับใบหู วิธีนี้ค่อนข้างสะดวก ง่ายต่อการอ่าน สามารถ มองเห็นได้จากระยะไกล
3. ใช้เบอร์แขวนคอ โดยใช้เชือกร้อยแผ่นไม้ โลหะ หรือพลาสติก ที่มีหมายเลขแล้วแขวนคอแกะ วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างง่าย แต่บางครั้ง เบอร์อาจเหลุดหรือเชือกอาจจะขาดหายได้ง่าย และอาจเกิดอันตรายเชือกไปเกี่ยว กิ่งไม้ทำให้รัดคอได้

ภาพโรงเรือนการเลี้ยงแกะและแสดงการทำสัญลักษณ์ที่ฝูงแกะ

การบันทึกข้อมูลการสืบพันธุ์ ได้แก่
-อายุและน้ำหนักเมื่อเริ่มผสมพันธุ์
-อัตราการคลอดลูก
-อัตราการเกิดลูกเดี่ยว ลูกแฝด
-อัตราการเลี้ยงลูกรอดเมื่อหย่านมและหลังหย่านม
-อัตราการผสมติด
-อายุและน้ำหนกเมื่อให้ลูกตัวแรก
-ระยะห่างการให้ลูก
การบันทึกข้อมูลการเจริญเติบโต
-น้ำหนัก รอบอก ความยาว ส่วนสูง เมื่ออายุแรกเกิด, 3, 6, 9 เดือน และ 1, 2, 3, 4 ปี
-น้ำหนักเมื่ออายุเริ่มผสมพันธุ์
-น้ำหนักเมื่อให้ลูกตัวแรก
- น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ของพ่อแม่พันธุ์

สายพันธุ์แกะ

สายพันธุ์แกะ

แกะพันธุ์ต่างๆทั้งพันธุ์ต่างประเทศและที่มีในประเทศไทยทั้งแกะขนและแกะเนื้อที่นิยมเลี้ยง

แกะพันธุ์ซัฟฟอล์ค

แหล่งกำเนิด : เป็นแกะพันธุ์เนื้อของประเทศอังกฤษ มีชื่อเรียกตามเมืองเมืองหนึ่งทางทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ
ลักษณะประจำพันธุ์ : น้ำหนักแกะเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ตัวผู้หนักประมาณ 100-125 กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 70-100 กิโลกรัม พันธุ์นี้มีขนาดใหญ่ หัวเล็ก ลักษณะเด่นก็คือ หน้า หู และขา มีสีดำ ส่วนลำตัว คอ เป็นสีขาว และตั้งแต่หัวเข่าลงไปถึงเท้าไม่มีขน แกะพันธุ์ซัฟฟอล์ค มีคุณภาพของเนื้อ ดีมาก มีความสามารถในการแทะเล็มหญ้าได้ดี ทนทานต่ออากาศร้อนและแม่แกะมีความสามารถในการเลี้ยงลูก จึงเป็นแกะพันธุ์ที่น่าสนใจนำมาใช้ปรับปรุงมาผลิตเผยแพร่ให้ แก่ประชาชน



แกะพันธุ์เมอริ
โน

ลักษณะประจำพันธุ์ : เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ตัวผู้จะมี น้ำหนักประมาณ 75 กิโลกรัม สูงประมาณ 70 เซนติเมตร ตัวเมียจะมีน้ำหนักประมาณ 65 กิโลกรัม สูงประมาณ 60 เซนติเมตร ขนเป็นสีขาวละเอียดยาวประมาณ 5 – 10 เซนติเมตร ปริมาณขนที่ตัดได้ต่อปี ตัวผู้ 4-5 กิโลกรัมต่อตัว ตัวเมีย 3-4 กิโลกรัมต่อตัว ลักษณะหางเป็นแบบหางเล็กแต่ยาว แกะพันธุ์นี้ได้นำเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2514-2515 โดยรัฐบาลของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันนี ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับดำเนินการในโครงการเกษตร ที่สูงจำนวน 20 ตัว และเลี้ยงไว้ที่ดอยอ่างขาง แกะเหล่านี้ได้ผสมพันธุ์กับแกะพันธุ์พื้นเมือง ได้ลูกผสมจำนวนมาก ภายหลังแกะลูกผสมเหล่านี้ได้ถูกนำมาเลี้ยง ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และแพร่หลายไปสู่ประชาชนทั่วไป



แกะพันธุ์ดอร์เซ็ท

ลักษณะประจำพันธุ์ : มี 2 ชนิด คือ ชนิดมีเขาเรียกว่า ดอร์เซ็ทฮอร์น และชนิดไม่มีเขาเรียกว่า ดอร์เซ็ทโพล เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ตัวผู้มีน้ำหนักประมาณ 80 – 110 กิโลกรัม แกะพันธุ์นี้เนื้อมีคุณภาพดี ตัวเมียสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปีและมีน้ำนมดีมาก จึงทำให้ลูกแกะที่เกิดมาเจริญเติบโตดี แข็งแรงและมีอัตราการเลี้ยงรอดสูง แกะพันธุ์ดอร์เซ็ทสามารถทนต่อสภาพร้อนได้ดี แต่มีข้อเสียคือ ต้องการทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์



แกะพันธุ์ลูกผสม

แกะพันธุ์ลูกผสมระหว่างพันธุ์พื้นเมืองกับพันธุ์ดอร์เซ็ท ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่และน้ำหนักมากกว่าพันธุ์พื้นเมือง


แกะพันธุ์คอร์ริเดล

แหล่งกำเนิด : เป็นพันธุ์ที่ปรับปรุงในประเทศนิวซีแลนด์ โดยนำแกะพันธุ์ลินคอล์น ผสมกับพันธุ์เมอริโนเพื่อให้ได้แม่พันธุ์ที่มีลูกดกและมีขนที่มีคุณภาพดี
ลักษณะประจำพันธุ์ : แกะพันธุ์นี้เมื่อโตเต็มที่ เพศผู้มีน้ำหนักประมาณ 85 – 110 กิโลกรัม เพศเมียมีน้ำหนักประมาณ 55 – 85 กิโลกรัม ลักษณะของขนมีสีขาว ขนที่ใบหน้า หู และเขา ก็มีสีขาว หางเป็นชนิดหางเล็กแต่ยาว เนื้อของลูกแกะพันธุ์คอร์ริเดลมีคุณภาพดี แกะพันธุ์นี้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแปลงหญ้าได้ดี ทนทานต่ออากาศร้อนและมีอายุยืน จึงใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ได้นานกว่าแกะพันธุ์อื่น กรมปศุสัตว์ได้เลี้ยงแกะพันธุ์นี้ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาปลวกแดง จังหวัดระยอง และจำหน่ายให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป

แกะพันธุ์วิลท์ไชร์ฮอร์น