ตะลอนตามฝันในการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกับ “ฟาร์มโชคชัย”
ด้วยความที่ชอบอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ “อินเดียแดง” และชอบดูหนังเกี่ยวกับ “คาวบอย” ฉันจึงตั้งปณิธานไว้ว่า หลังจากเรียนหนังสือจบจะไปทดลองเป็น “คนในงานในฟาร์มวัว” แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง เพราะพอเรียนจบปุ๊บ !!! ฉันก็เลือกทางเดินอีกทาง แล้วพักความฝันที่ว่าจะก้าวเข้าสู่การได้สัมผัสกลิ่นอายของท้องทุ่งในฟาร์มวัวไว้เป็นการชั่วคราว
ผ่านมาเกือบ 5 ปี ความฝันนั้นยังคงอยู่....ไม่หายไปไหน!!!!
และเมื่อไม่นานมานี้ ฉันจึงขอไปสูดกลิ่น “ขี้วัว” ด้วยการเดินเข้าสู่ห้วงฝันที่เคยมาดมั่นไว้ในวัยเรียนแต่แปรเปลี่ยนความตั้งมั่นที่จะสัมผัสชีวิตการเป็น “คนงานฟาร์ม” ด้วยการเป็น “นักท่องเที่ยว” แทน
ช่วง
สายของวันอาทิตย์ปลายเดือนมีนาคม ฉันและเพื่อนขับรถออกจากกรุงเทพฯ
ใช้ถนนพหลโยธินวิภาวดี แล้วเลี้ยวขวาจาก จ.สระบุรี เข้าสู่ถนนมิตรภาพ
แล้วหยุดที่ กม.159-160 ที่เป็นประตูทางเข้าจังหวัดนครราชสีมา(โคราช) โดยมีจุดหมาย คือ “ฟาร์มโชคชัย”
ซื้อตั๋วก่อน
การมาเดินทางไปครั้ง ฉันและเพื่อนต่างไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับฟาร์มโชคชัยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่มี คือ อยากไปและอยากเห็นฟาร์ม ดังนั้นทุกอย่างที่ตรงหน้าจึงตื่นตาตื่นใจและไร้การคาดหวัง
พอไปถึงฟาร์มโชคชัย จึงเป็นช่วงเวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่แดดร้อนเปรี้ยงปร้าง เราจึงตรงดิ่งเข้าไปที่เคาร์เตอร์จำหน่ายตั๋วก็ได้รับข้อมูลว่า การเที่ยวชมฟาร์มนั้นจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงและวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์จัดรอบให้เข้าชมหลายรอบ เพราะฟาร์มเปิดตั้งแต่ 09.00-15.00 น. ฉันและเพื่อนจึงซื้อตั๋วสองใบราคาใบละ 250 บาท รอบเวลา 11.40 น.
ทั้งนี้ทราบข้อมูลว่า หากเที่ยวในวันจันทร์-ศุกร์ ฟาร์มจะเปิด 2 รอบ คือ เวลา 10.00 น.และ 14.00 น. และตั๋วผู้ใหญ่จะได้ลดราคาเหลือใบละ 235 บาท และตั๋วเด็กจะเหลือใบละ 115 บาท หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ตั๋วเด็กจะราคา 125 บาท
ประตูทางเข้า
เมื่อเราได้ตั๋วเวลา 11.40 น. เท่ากับว่าต้องรอตั้ง 40 นาที
ฉันจึงชักชวนกับเพื่อน หาข้าวกลางวันกินก่อนที่จะไม่มีแรงเดิน ซึ่งใกล้ๆ
เคาร์เตอร์ซื้อตั๋วจะมีร้านสเต็คอยู่
เราตั้งใจว่าจะเข้าไปลองชิมสเต็คเพื่อให้ได้พิสูจน์ว่า
เรามาถึงฟาร์มโชคชัยแล้ว
แต่พอมองเข็มนาฬิกาและมองผู้คนที่ค่อนข้างจะล้นหลามต่อการรอชิมสเต็คแล้ว
ถ้อยคำที่พูดออกมาพร้อมกันคือ “จะกินเหรอ???” นั่นจึงเป็นส่วนตัดสินใจให้เรา “เซย์บาย” กับการลองชิมสเต็ค
ร้านสเต็กในช่วงเสาร์-อาทิตย์ค่อนข้างหนาแน่น
ด้วยความที่อากาศร้อนสุดขั้วฉันจึงตรงดิ่งไปยังร้านไอติม “อึ้มม์ มิลค์” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากนมในฟาร์มโชคชัยที่นำนมสดมาทำ “ไอศครีม” เป็นออเดิร์ฟก่อนที่จะกินข้าวเที่ยง และแล้วอาหารมื้อเที่ยง ของวันนั้นจึงเป็นอาหารง่าย ๆ ที่หาได้จากร้านบริเวณหน้าฟาร์มโชคชัย
เมื่อ
ได้อาหารรองท้องเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาที่เปิดโลกของการเป็นคาวเกิร์ลและ
คาวบอยเสียที เพราะระหว่างที่นั่งกินอาหารกลางวันอยู่นั้น
ฉันเห็นสาวประชาสัมพันธ์แต่งชุดคาวเกิร์ลเดินขวักไขว่ไปมาให้เห็นจนแทบจะรน
ทนไม่ได้ อยากเห็นวัว อยากเห็นม้า เต็มทีแล้ว
การเข้าชมฟาร์มปศุสัตว์นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีพิธีรีตรองเสียเลย
ฟังข้อมูลก่อนเข้าชมฟาร์ม
เบื้อง
แรก....หลังจากผ่านประตูทางเข้าแล้ว ด่านแรกที่เราต้องรู้ไว้เป็นสารณะ คือ
การรับฟังการบรรยายรับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับฟาร์มเสียก่อน ซึ่งเดิมทีเดียวฟาร์มโชคชัยในยุคบุกเบิกนั้นมีเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ปัจจุบันมีเนื้อที่กว่า 20,000 ไร่
ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นพื้นที่ปศุสัตว์ พื้นที่ปลูกหญ้า และโรงงาน
(ส่วนตัวไม่ทราบว่าเขาได้พื้นที่มากมายนี้มาได้อย่างไร
แต่การได้พื้นที่มากโขขนาดนี้มาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ครอบครอบนั้นมันก็น่าสงสัย
อยู่......)
เดินผ่านน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนเข้าฟาร์ม
พอทราบข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับฟาร์มแล้วเราก็เตรียมตัวทัวร์ แต่ก่อนที่จะเข้าไปภายในฟาร์มก็ต้องมีกระบวนการ “ฆ่าเชื้อ”
โดยบริเวณประตูทางเข้าจะมีการฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อและให้ผู้เข้าชมทุกคนล้างมือ
ด้วยน้ำสะอาด
จากนั้นก็ตรงดิ่งไปรับทราบข้อมูลรถรุ่นบุกเบิกของฟาร์มที่แน่นอนว่า มี “คาวเกิร์ลสาวสวย” เป็นผู้แนะนำให้รู้จัก 
ชมรถรุ่นบุกเบิกฟาร์มโชคชัยกับคาวเกิร์ล
พอโบกมือบ๊ายบาย ไกด์สาวสวย เราก็ตรงดิ่งขึ้นรถรางที่แน่นอนว่ามี “คาวเกิร์ล” เป็นไกด์สาวสวยพาทัวร์ ซึ่งทริปนั้นมีไกด์ชื่อ “นันธิดา” เป็นหัวหน้าคณะทัวร์ หรือเรียกตามภาษาฟาร์มโชคชัยก็คือ เจ้าหน้าที่นำชมนั่นเอง ป้ายแรก.....ที่รถรางจอด คือ ที่รีดนมวัว โดยมีแม่วัวทั้งสาวและแก่หันก้นไว้คอยให้รีดนมอยู่กว่า 48 ตัว ซึ่งทุกตัวพร้อมแล้วที่จะกลั่นนมออกจากเต้าให้รีด
งาน
นี้ไกด์....อธิบายว่า เดิมทีเดียวกระบวนการรีดนมจะใช้แรงงานคน
แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนมาเป็นกระบวนการรีดนมด้วยเครื่องหมด
แล้ว เหตุผลเดียว คือ การใช้แรงงานคนช้ากว่าใช้เครื่อง อีก
อย่างการใช้เครื่องรีดนมสามารถป้องกันการของเสียหลุดเข้าไปในถังรองน้ำนมได้
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างที่ถูกรีดนมอยู่นั้นเธอจะไม่ถ่ายของเสียออกมา
ดังนั้นการใช้เครื่องรีดจึงปลอดภัยกว่า
คนงานทดลองรีดนมวัวเพื่อดูว่าแม่วัวพร้อมกับการใช้เครื่องรีดนมหรือไม่
แต่
สิ่งหนึ่งที่ยังคงใช้แรงงานคนอยู่ คือ การทดลองบีบนมก่อนว่า
น้ำนมของวัวตัวเมียพร้อมกับการรีดหรือไม่
ถ้าหากน้ำนมมีสีขาวปนแดงนั่นหมายความว่า แม่วัวไม่พร้อมต่อการรีด
เพราะเธออาจจะไม่สบาย ถ้าคนงานทดลองรีดนมใส่ถังน้ำแล้วปรากฎว่า
น้ำนมมีสีขาวขุ่นก็หมายความว่า แม่วัวสุขภาพปกติดี
สามารถใช้เครื่องรีดนมเธอได้
ปกติแล้วแม่วัวแต่ละตัวจะให้นมวันละ 3 เวลา คือเวลา ตี 4 ,เก้าโมงเช้าและบ่ายสามโมงเย็น และมีพิกัดในการรีดนมได้เฉลี่ย 18 กิโลกรัม
ต่อวันต่อตัว ซึ่งใกล้ ๆ บริเวณรีดนมวัวนั้น จะมีเครื่องวัดว่า
แม่วัวแต่ละตัวให้นมในแต่ละครั้งไปแล้วกี่กิโลกรัม
(เหมือนกับการเติมน้ำมัน)
เมื่อเครื่องทำงานไปสักระยะและถึงเวลาที่น้ำนมจะถึงพิกัดที่กำหนด
คนงานมาจะเดินมาปิดเครื่องรีดนมวัวตัวนั้นและถ้ารีดนมวัวตัวนั้นแล้วเสร็จ
ก็ฉีดสเปรย์ที่มีสารละลายของทิงเจอร์ไอโอดีนให้กับแม่วัว
ทั้งนี้เพื่อป้องกันมะเร็งเต้านม
(เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแม่วัวก็เป็นมะเร็งเต้านมได้-ความรู้ใหม่)
หลังจากชมกระบวนการรีดนมและได้ทดลองรีดนมวัวแล้ว...ฟาร์มโชคชัยก็มีกระบวนการ “ขายของ” ด้วยการให้เราชมขั้นตอนการทำไอศครีมจากนมวัวและให้ลองชิมไอศครีมหลากรสชาติ จากนั้นก็ขึ้นรถรางตรงดิ่งเข้าสู่ “ฟาร์มโชคชัย”
รถรางเที่ยวชมฟาร์ม
เมื่อ
รถรางออกเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลของฟาร์มโชคชัย
กลิ่นสาปแบบแปลกๆ ก็ลอยปะหน้าอย่างเต็มเต็ง
ทำให้ไกด์สาวสวยของเรารีบบรรยายว่า “จากนี้ไปจะเป็นส่วนที่วัวเนื้อและวัวนมอยู่ ซึ่งแต่ละคอกก็จะมีวัวอยู่คอกละ 48 ตัว ดังนั้นจึงขอให้ผู้เยี่ยมชมทุกท่านสูดกลิ่นขี้วัวให้เต็มปอดนะคะ” พลันสิ้นเสียงไกด์คาวเกิร์ล ก็เรียกเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงทำให้การสูดกลิ่นขี้วัวครั้งนั้นไม่ได้เหม็นเท่าใดนัก
เธอบรรยายต่อว่า “ฟาร์มโชคชัยมีวัวทั้งหมด 5 พันตัว ซึ่งมีทั้งวัวเนื้อและวัวนม โดยเหตุที่ต้องแบ่งให้แต่ละคอกมีวัวอยู่คอกละ 48 ตัวนั้นก็เป็นเพราะว่า ง่ายต่อการนำวัวไปยังเครื่องรีดนมนั่นเอง”
ดูคนขับรถรางค่อนข้างเคร่งขรึม
พอผ่านพื้นที่ปศุสัตว์แล้วก็เคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่สีเขียวที่มีหญ้าหลากหลายสายพันธุ์ ไกด์สาวบรรยายว่า “ฟาร์มโชคชัยปลูกหญ้าหลายหลายชนิด” แล้วเธอก็หยุดให้ลูกทัวร์ได้ลองทายดูว่า รู้จักหญ้าชนิดไหนบ้าง
ลูกทัวร์ที่เป็นกระทานายหนึ่งจึงตอบว่า “หญ้าโรซี่"
ทำให้เธออมยิ้มแล้วอธิบายต่อว่า “ถูกต้องค่ะ ที่นี่ปลูกหญ้าโรซี่ด้วย ความจริงแล้วหญ้าโรซี่มีคุณสมบัติ คือ แก่เร็ว ตายช้า ดังนั้นไปอย่าตั้งชื่อใครว่า โรซี่นะคะ” มุขนี้เรียกเสียงหัวเราะแบบลืมร้อนไปเลยทีเดียว
หนุ่มคาวบอยร่วมทริป
พอรถรางเคลื่อนเข้าสู่ท้องทุ่งหญ้าที่มีสีเขียวอ่อน ๆ เธอก็อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “บริเวณนี้จะเป็นหญ้าอ่อนๆ ค่ะ ดูได้จากสีเขียวของหญ้าที่ยังสีเขียวอ่อน ๆ ไม่เข้มนัก” ระหว่างนี้เธอก็หยอดอีกมุขหนึ่ง “ลองทายสิคะว่า หญ้าอ่อน ๆ นี้เก็บไว้ให้วัวอายุกี่ขวบ”
แน่นอนมุขนี้ลูกทัวร์หลายรายตะโกนขึ้นพร้อมๆ กันว่า “วัวแก่” พร้อมกับเสียงหัวเราะครึกครื้น
แต่เธอกลับให้ข้อมูลว่า “ความ
จริงแล้ว หญ้าอ่อนๆ ต้องให้วัวเด็กที่คลอดไม่กี่สัปดาห์ ดังนั้นสำนวนที่ว่า
โคแก่กินหญ้าอ่อนจึงไม่น่าจะเหมาะกับหญ้าอ่อนชนิดนี้นะคะ”
เมื่อพ้นทุ่งเขียวขจีแล้ว.....ก็จะเห็นบ่อหญ้าหมัก(อ่านว่า “บ่อหญ้าหมัก” อย่าแปลความเป็นอื่นนะคะ) ซึ่งมีรถบดหญ้าและโกดังเก็บหญ้าอยู่เป็นทิวแถว ระหว่างนี้ไกด์สาวคาวเกิร์ลคนเดิมอธิบายว่า “นี่เป็นกระบวนการถนอมอาหารไว้ให้วัวค่ะ ใครอยากได้ซักฟ่อนไหมคะ” หลายคนส่ายหน้าเลิ่กหลั่ก ซึ่งลูกทัวร์ข้าง ๆ ฉันบ่นพึมพำว่า “แหม ๆ จะให้เอาอาหารที่ถนอมแล้วกลับไปกินเหรอจ๊ะ” จึงทำให้ฉันแอบอมยิ้มไม่ได้
กิจกรรมขี่ม้าในเมืองคาวบอยจำลอง
ป้ายที่สอง.......ที่รถรางจอดให้เที่ยวชม คือ “เท็กซัส”...เอ๊ยไม่ใช่ เป็นสถานที่จำลองเมืองคาวบอยค่ะ โดยมีคาวบอยออกมาโชว์การขี่ม้า โชว์ควงปืน โชว์การไส้แส้ โชว์การล้มวัวด้วยเชือก และ
สุดท้ายโชว์ตีตราวัว (เพื่อให้รู้ว่า
วัวอายุกี่ขวบและให้รู้ว่าวัวตัวนั้นมาจากฟาร์มใด
ซึ่งการโชว์สุดท้ายนี้ไม่ได้เป็นการโชว์จริง แต่เป็นการใช้เหล็กร้อนๆ
ที่มีตราประทับบนวัวไม้อัดแทนวัวจริง)
ใครไม่อยากขี่ม้าจริงก็มีกิจกรรมขี่ม้าไม้
ภายหลังการโชว์นั้นลูกทัวร์มีเวลาสำหรับการเที่ยวชมเมืองจำลองประมาณ 20 นาที
ดังนั้นใครใคร่ขี่ม้า...ก็ขี่ ใครใคร่อยากละเล่นอย่างอื่นก็มีให้เล่น อาทิ
ยิงปืน ปาเป้า ปาลูกดอก ฯลฯ ซึ่งการละเล่นหลายอย่างก็จะเป็นเหมือนงานวัด
(ฮา)
ส่วน
ฉันไม่เลือกทำอะไรเลย เพราะแดดร้อนเปรี้ยงปร้างในช่วงเวลาหลังเที่ยง
คงไม่ทำให้ฉันอยากขี่ม้ากลางแดดหรอก สิ่งเดียวที่ยั่วยวนน้ำลาย คือ “ไอศครีมนมสด” ที่ตักคำแรกต้องบอกว่า “อึ๊มม์ มันคลายร้อนได้เหมือนกันชื่อ อึ๊มม์ มิลค์จริงๆๆ”
คาวบอยโชว์การใช้แส้
กิจกรรมคาวบอยโชว์การล้มวัวด้วยเชือก
โปสการ์ดของคาวบอยมีให้เห็นอยู่มากในเมืองคาวบอยจำลอง
ถัดจากเมืองคาวบอยจำลองเราก็เคลื่อนรถรางเข้าสู่ฟาร์มสุนัข ทว่าก่อนที่ไปถึงฟาร์มสุนัขเราได้เห็นวิธีการต้อนแกะของสุนัขต้อนแกะ (sheep dog)
ที่สุนัขต้อนแกะนี้จะตัวเล็กคล้ายสุนัขจิ้งจอก แต่เป็นคนละสายพันธุ์
ซึ่งเขาก็จะมีวิธีการเลี้ยงแกะได้ดีและสามารถต้อนแกะให้กลับเข้ากรงได้อย่าง
น่าทึ่ง
การโชว์สุนัขต้อนแกะ
แต่ดูเหมือนว่า “แกะ” จะไม่ค่อยชอบหน้าสุนัขต้อนแกะเอาเสียเลย เพราะถ้าหากแกะตัวใดไม่ฟัง วิธีการเดียวที่ถูกกระทำ คือ “การกัด” โดยระหว่างกระบวนการต้อนนั้นจะไม่มีแกะตัวใดอยากอยู่ท้าย ๆ แถวเลย เพราะกลัวว่าจะถูกงับเข้าที่สะโพก ซึ่งจะทำให้มันได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นตัวที่อยู่สุดท้ายจึงมักกระโดดข้ามเพื่อน ๆ เพื่อแย่งกันไม่ขออยู่ท้ายแถว
พ้น
การดูวิธีการต้อนแกะของสุนัขต้อนแกะแล้ว
รถรางของเราก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ฟาร์มสุนัข
ซึ่งเป็นฟาร์มที่มีสุนัขหลากหลายสายพันธุ์
โดยบริเวณฟาร์มดังกล่าวจะรับฝึกสุนัขด้วย
ดังนั้นสุนัขที่ได้รับการฝึกแล้วจึงสามารถไปทำตามคำสั่งได้อย่างไม่อิดออด
และเราก็ได้โชว์สุนัขที่เรียกเสียงฮาได้แบบขำกลิ้ง แบบลืมหิว ลืมร้อน
ลืมเหนื่อยไปเลยทีเดียว
กิจกรรมป้อนอาหารแกะ(แกะชอบกินถั่วฝักยาว)
ใกล้
กันนั้นก็มีสวนสัตว์ที่ให้เราได้เที่ยวชมได้เหมือนเขาดิน
แต่สวนสัตว์ของฟาร์มโชคชัยจะปล่อยให้สัตว์ได้อยู่แบบธรรมชาติ
โดยปล่อยให้กวางเดินส่ายสะโพกประหนึ่งเป็นป่าใหญ่ ปล่อยให้แกะเดินดุ่ม ๆ เสมือนหนึ่งได้เดินกลางทุ่งหญ้า
การ
ทำเช่นนี้ทำให้สัตว์คุ้นชินกับผู้คนจนลืมคิดว่า
ตัวเองเป็นสัตว์ป่าไปแล้วกระมัง เพราะพอพวกมันเห็นคน มันก็ตรงดิ่งเข้าหา
โดยคิดว่า น่าจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาฝากมัน
แน่
นอนใกล้ๆ กันนั้นก็มีอาหารสัตว์ไว้ขายเพื่อให้นักเทียวได้ซื้อเลี้ยงพวกมัน
และนี่เป็นกลวิธีที่ฟาร์มโชคชัยให้นักท่องเที่ยวเลี้ยงอาหารมันเป็นการตอบ
แทนนั่นเอง(ฮา)
เวลากว่า 2 ชั่วโมงฉันจึงได้ดื่มด่ำกับ “ความฝันที่เป็นจริง” แม้จะไม่ได้เป็นคนงานในฟาร์มและรู้ว่า เบื้องหน้าที่ได้พบเห็นนั้นเป็นการแสดงและเป็น set up ขึ้นเพื่อเอาใจนักท่องเทียว แต่ฉันก็มีความสุขกับ “วัว” ที่ฉันเห็นและสัตว์อีกนานาชนิดที่อยู่ในฟาร์มอันเขียวขจี
ขากลับก็แวะร้านของฝากนิดๆ หน่อย
แม้
แดดจะแผดร้อนมากแค่ไหน ทว่าจิตใจของฉันไม่ได้ร้อนรุ่มไปกับเปลวแดด
แม้หลังจากตระเวนฟาร์มแล้ว
อุณหภูมิในร่างกายจะแปรเปลี่ยนจนไปแทบจะทานทนไหวและทำให้ฉันป่วยไข้
ทว่าฉันก็ป่วยไข้ด้วยความสุขและไม่โทษใคร
เพราะต้องโทษตัวเองที่ไปสายทำให้แดดร้อน
บทสรุปหลังการได้ “ท่องเที่ยวกึ่งฟาร์มปศุสัตว์” ครั้งนี้จึงได้รับบทเรียนอย่างหนึ่งว่า “อย่านอนตื่นสาย” นั่นเอง(ฮา) เพราะการเที่ยวหน้าร้อนแดดจะแผดเผาเอาจนทำให้เราเสียอรรถรสในการเยี่ยมชมนั่นเอง